หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
การพูดเป็นเรื่องที่ฝึกฝนกันได้
การพูดเป็นเรื่องที่ฝึกฝนกันได้
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หลายๆคน มักมีความคิดว่า คนที่พูดเก่ง เขามักมีพรสวรรค์ หรือ พูดเก่ง มาตั้งแต่เกิด การคิดเช่นนี้ จึงทำให้หลายๆคน ไม่อยากที่จะพัฒนาตนเองในด้านการพูด เพราะเชื่อว่า ถึงอย่างไร เราก็พูดไม่เก่ง หรือพูดเก่ง สู้คนอื่นเขาไม่ได้ แต่แท้ที่จริงแล้ว การพูดสามารถฝึกฝนได้ โดยเฉพาะการพูดต่อหน้าสาธารณชน
หากเราได้มีโอกาส ไปสอบถามนักพูดระดับประเทศ หรือ นักพูดระดับโลก เราก็จะได้คำตอบในลักษณะเดียวกันจากปากของนักพูดท่านนั้น เพราะส่วนใหญ่แล้ว พวกเรามักจะมองตอนที่เขาประสบความสำเร็จหรือมีชื่อเสียงทางด้านการพูดแล้ว แต่ถ้าไปสืบค้น เบื้องหลัง กว่าที่นักพูดระดับประเทศ นักพูดระดับโลก จะมีชื่อเสียง เขาจะต้องฝึกฝนอย่างหนัก เขาจะต้องทุ่มเท เขาจะต้องลงทุน ลงแรง และเสียเวลาในการฝึกฝนและพัฒนาการพูดของเขาอย่างไม่หยุดยั้ง
ดังคำพูดของ ศาสตราจารย์ วิลเลี่ยม เจมส์ นักจิตวิทยาที่ยิ่งใหญ่แห่งประเทศสหรัฐ ได้กล่าวไว้ว่า “ เราไม่ต้องไปวิตกกังวลถึงผลของการฝึกฝนของเราเลย ขอให้ฝึกไป เรียนไป อย่างสม่ำเสมอ อย่าได้หยุดยั้ง แล้วสักวันหนึ่ง เราจะพบว่า เราไม่ได้เป็นรองใครเลยในวงการหรือยุทธจักรที่เราได้ฝึกฝนไป บุคคลที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ก็เกิดมาเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญ แต่เขามีความแตกต่างตรงที่บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักจะเอาจริงเอาจังกับเป้าหมายและไม่เคยท้อแท้ท้อถอยนั้นเอง”
อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ เขาเข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนเพียงไม่กี่ปี แต่เขากลับกลายเป็นนักพูดระดับโลก ก็เพราะการฝึกไป เรียนไป
เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิลล์ อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ เขาเป็นคนพูดติดอ่าง ผู้ฟังฟังไม่รู้เรื่อง แต่หลังจากที่เขา ฝึกไป เรียนไป เขากลายเป็นนักพูดชั้นเยี่ยมของโลก
เดมอส เทนิส เขาพูดในรัฐสภาครั้งแรก ถูกฮาป่า ถูกดูถูกจากคนทั่วประเทศว่า เป็นคนที่พูดจาไม่มีวาทะศิลป์ การแสดงกิริยาท่าทางน่าเกลียดมาก เขาได้รับการอัปยศอดสู แต่ ก็ด้วยการฝึกไป เรียนไป เขาต้องใช้เวลาในฝึกพูดตามชายหาดทะเลอยู่ยาวนาน เขาฝึกอ่านสำนวนโวหาร และเขาก็ฝึกคิดสำนวนโวหารของตนเอง สุดท้าย เขาได้รับการให้เกียรติจากรัฐสภา และจากคนทั่วประเทศ
ฮิตเล่อร์ อดีต ผู้นำของประเทศเยอรมัน ไม่ได้พูดเก่งมาตั้งแต่เกิด แต่ก็ด้วยการฝึกไป เรียนไป อย่างสม่ำเสมอ สุดท้าย ฮิตเล่อร์ เป็นนักพูดที่สามารถพูดครองใจคนเยอรมันได้ทั้งประเทศในช่วงนั้น
ฉะนั้น การพูดจึงสามารถฝึกฝนได้ ยิ่งในยุคปัจจุบัน เรามีสถาบันที่ให้การฝึกอบรม มากมาย อีกทั้งมีองค์กรต่างๆเช่น สมาคม ชมรม กลุ่ม ทางการฝึกพูดให้เรา สามารถเข้าไปฝึกฝนได้ เช่น สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย , สโมสรฝึกการพูดในต่างจังหวัด , ชมรมฝึกการพูดในมหาวิทยาลัย เป็นต้น
ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่อและกล้ายืนยันว่า การพูดเป็นพูดเก่งพูดดี นั้นสามารถฝึกฝนได้ ตอนเด็กๆ กระผมเป็นคนไม่ค่อยพูดมาก พูดไม่เก่ง พูดไม่เป็น แต่พอตอนกระผมได้เรียนในระดับมหาวิทยาลัย จึงได้มีโอกาส เข้าชมรมฝึกการพูด ภายหลังก็ได้มีโอกาสเข้าไปฝึกฝนการพูดที่สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย และ ตอนทำงานก็ได้มีโอกาสไปฝึกฝนการพูดตามสโมสรฝึกการพูดในต่างจังหวัด
แน่นอน หลายคนอาจตั้งคำถามว่า เราอาจเรียนรู้การพูดจากการอ่านหนังสือและการฟังได้ไม่ใช่หรือ แต่แท้ที่จริงแล้ว วิชาการหลายอย่างเราสามารถอ่านและฟังได้ แต่ก็มีวิชาการอีกหลายอย่างที่ต้องอาศัยการฝึกฝนและการฝึกปฏิบัติ การพูดจึงเป็นวิชาการในประเภทหลังนี้ คือ ต้องมีการอ่านจากในหนังสือและฟังบุคคลต่างๆพูด แต่สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เราพูดเก่ง พูดเป็น พูดดี ก็คือการฝึกฝน ฝึกปฏิบัติ นั้นเอง

...
  
ทำอย่างไรถึงจะฉลาดขึ้นอีก
ทำอย่างไรถึงจะฉลาดขึ้นอีก
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หลายคนที่มีความเชื่อในทางศาสนา อาจเชื่อว่า คนเราเกิดมามีความฉลาดแตกต่างกัน เนื่องมาจากได้ทำ ได้สะสมมาแต่ในชาติปางก่อนหรือในทางวิทยาศาสตร์ คนเราฉลาดหรือโง่หรือมี ไอคิวที่แตกต่างกันเนื่องมาจากการทอดถ่ายทางพันธุกรรม โดยส่วนตัวกระผมก็มีความเชื่อเหมือนกับคนส่วนใหญ่ แต่ทั้งนี้ คนเราสามารถฉลาดขึ้นได้อีก ก็โดยการพัฒนานิสัยดังต่อไปนี้
1.พยายามสังเกตุ และรู้จักตั้งคำถามต่างๆ เช่น ทำไม ทำไม ทำไม เมื่อท่านเกิดความสงสัย แล้วท่านพยายามสังเกตุ แล้วพยายามค้นหาคำตอบ เมื่อท่านค้นหาคำตอบ และท่านได้รับคำตอบ จากคำถามที่มีมาอย่างมากมาย ท่านก็จะเป็นคนที่ฉลาดขึ้น
2.พยายามอ่านหนังสือให้มากๆ โดยเฉพาะการอ่านหนังสือพิมพ์ เพราะการอ่านหนังสือพิมพ์จะทำให้เราทันโลก ทันเหตุการณ์ ความเคลื่อนไหวของโลก หรือ ความเคลื่อนไหวต่างๆของประเทศของเราและประเทศเพื่อนบ้าน
3.พยายามสร้างความแตกต่างหรือหาไอเดียที่แตกต่างกับคนอื่นๆ โลกเราเจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ก็ด้วยความคิดที่แตกต่างจากคนอื่นๆ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ พวกเราจะไม่มีวันได้เห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้เลย ถ้าทุกๆคนคิดเหมือนกัน แต่เมื่อมีคนคิดต่างหรือมีไอเดียใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้น
4.พยายามหาตัวอย่างมากๆหรือหาแบบอย่างมากๆ คนเราสามารถมีกำลังใจในการทำงานที่มากขึ้น มีความอดทนขึ้น มีความพยายามขึ้น ก็เนื่องมาจาก หลายคนได้หาบุคคลตัวอย่างหรือหาแบบอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จ เมื่อได้อ่านหรือดูตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว เขาก็จะเกิดกำลังใจในการทำงาน เกิดกำลังความคิดในการทำงาน
5.พยายามเอาชนะอุปสรรคต่างๆ แน่นอนในการทำงาน เราต้องเกิดปัญหา เกิดอุปสรรค เกิดความกลัว เกิดความกังวลใจ เกิดความเหนื่อยขึ้น แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จและมีความฉลาด มักจะผ่านพ้นสิ่งต่างๆเหล่านี้มาอย่างมากมาย
6.พยายามเข้าหาบุคคลหรือสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้ตนเองประสบความสำเร็จ มีนักวิชาการกล่าวไว้ว่า อนาคตของท่านจะเป็นอย่างไร ขอให้ดูบุคคลที่ท่านคบค้าสมาคมอย่างสนิทสนมกันเพียงแค่ 5 คน กล่าวคือบุคคลที่สนิทสนมกับท่านก็จะมีนิสัย ใจคอ คล้ายคลึงกับท่าน ฉะนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จในเรื่องใดๆ ท่านจะต้องเข้าหาบุคคลและเข้าหาสิ่งแวดล้อมนั้นๆ แล้วท่านจะประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
7.พยายามให้คนอื่นๆมากๆ โดยเฉพาะความรู้ ความรู้ไม่เหมือนกับเงินทอง กล่าวคือ เงินทอง เมื่อท่านหามาได้แล้วใช้มากๆ มันก็มีวันที่จะหมด แต่ความรู้ของคนเรา เมื่อท่านหามาได้แล้วยิ่งใช้มากๆ ยิ่งพยายามให้คนอื่นๆมาก พยายามแบ่งปันคนอื่นๆมากๆ ท่านก็จะมีความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น มีความฉลาดมากขึ้น
8.พยายามเขียนบันทึก การเขียนบันทึกมีข้อดีหลายๆอย่าง เช่น เมื่อท่านได้รับความรู้เรื่องใดๆ ถ้าท่านไม่พยายามเขียน ไม่พยายามบันทึก ความรู้นั้นๆ สักวันหนึ่งท่านก็จะลืมมันไป การเขียนบันทึกยังทำให้เรา เกิดความคิดที่มีเพิ่มเติมมากขึ้น และยังเกิดความคิดที่ทบทวน เกิดความคิดในการวิเคราะห์สิ่งต่างๆมากยิ่งขึ้น
9.พยายามค้นหาตัวเอง คนที่ฉลาดหรือมีความอัจฉริยะในตัวเอง มักเป็นคนที่รู้จักตนเอง เขาจะรู้ว่า เขามีความชอบอะไร รักอะไร ทำสิ่งไหนแล้วมีความสุข บุคคลที่รู้จักตนเอง จะเลือกทำในสิ่งที่ตนเองรัก เมื่อเขารู้ว่าเขาต้องการอะไร มีเป้าหมายอะไร เขาก็จะทำให้สิ่งนั้นได้อย่างยาวนาน เขาจะมีความอดทนต่อสิ่งต่างๆ เช่น คนประสบความสำเร็จบางคน รู้จักตัวเองว่า เขามีความสามารถในการพูด ในการบรรยาย เขาก็จะอดทน ฝึกฝน การพูด การบรรยายของเขา อย่างหนัก จนในที่สุดเขาก็เป็นบุคคลหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในวงการพูด ในวงการบรรยาย

...
  
หากต้องการเวลา....ต้องกล้าที่จะปฏฺิเสธ
หากต้องการเวลา....ต้องกล้าที่จะปฏิเสธ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย
www.drsuthichai.com
จงทำแต่งานของท่าน แต่อย่ารับงานของคนอื่นมาทำเสียเอง
ในบางครั้ง เวลาในการทำงานของเรา มีลดน้อยลง ก็เนื่องจากเราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ หลายคนมีงานที่ต้องทำเป็นจำนวนมาก งานบางงานต้องเร่งรีบส่ง ในเวลาที่มีจำกัด แต่มีนิสัยขี้เกรงใจคน ไม่กล้าที่จะปฏิเสธคน จึงทำให้เวลาในการทำงานมีน้อยลง เช่น
คนบางคน เวลามีคนชวนไปกินข้าวเที่ยงเป็นเวลานานๆ ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ แทนที่จะรีบ
ไปทานข้าวเที่ยง แล้วมาทำงานต่อ กับเสียเวลาในการพูดคุยกันในเวลากินข้าวเที่ยงหรือเสียเวลาในการรออาหารเป็นเวลานาน จึงทำให้เวลาทำงานของตนเองเหลือน้อยลง
คนบางคน เพื่อนชวนไปเดินเที่ยวซื้อของที่ตลาด บางคนเพื่อนชวนไปเป็นเพื่อนเพื่อ
ติดตามงาน(ของเพื่อน)ในสถานที่ติดต่องานราชการ ใน วัน เวลาทำงาน ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ จึงทำให้เวลาทำงานของตนเองน้อยลง
คนบางคนถูกเพื่อนหรือคนรู้จัก ขอร้องให้ช่วยทำงานของเขา แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ จึงทำให้เวลาในชีวิตของตนลดน้อยลง เช่น เพื่อนร่วมงานเรียนปริญญาโท แล้วให้ช่วยทำรายงานให้ ซึ่งงานเหล่านี้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องหรือมีความสำคัญกับเราเลย แต่ด้วยความที่ไม่กล้าปฏิเสธ จึงทำให้เวลาของเราเหลือน้อยลง
คนบางคน เพื่อนร่วมงานมาหาที่โต๊ะทำงาน แล้วก็ชวนพูดคุย นินทา ผู้คนต่างๆ เป็นเวลานานๆ แต่ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ ในการพูดคุยเป็นเวลานานๆ จึงทำให้เสียเวลาในการทำงานของตนเอง อีกทั้งงานที่จะส่งก็ล่าช้าตามไปด้วย
คนบางคน ขอร้องให้ช่วยไปซื้อของหรือฝากซื้อของ ยังสถานที่ต่างๆในเวลาทำงาน หรือ พักเที่ยงขอร้องให้เราไปจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าไฟฟ้า , ค่าน้ำประปา ,ค่าบัตรเครดิต , ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ หากว่าเราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ เวลาทำงานของเราก็จะลดน้อยลง
คนบางคน ใช้เวลาในการสนทนา ทาง Facebook หรือ สนทนาทาง Line ในเวลาทำงาน นานจนเกินไปและก็ไม่ใช่สนทนาเกี่ยวกับงานที่ตนเองทำ หากว่า เราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ เวลาในการทำงานของเราก็จะลดน้อยลง
คนบางคน ไปนั่งทานข้าวหรือนั่งกินกาแฟกับเพื่อน เป็นเวลานานๆ แต่มีงานที่จะต้องทำหรือมีธุระที่จะต้องทำ ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ หรือกล้าที่จะขอตัวแล้วลุกจากที่นั่ง หากว่า เราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ เวลาของเราก็จะลดน้อยลง
ดังนั้น หากท่านต้องการมีเวลาที่จะการทำงานมากขึ้น ท่านต้องกล้าที่จะปฏิเสธ อย่ารับงานของคนอื่นมาทำแทน เพราะ การเกรงใจหรือการไม่กล้าที่จะปฏิเสธ จะทำให้ท่านเสียเวลาในการทำงานของท่านลง มันเป็นผลเสียต่อตารางการทำงานของเรา ทั้งนี้ การปฏิเสธ ไม่ได้หมายรวมไปถึง งานที่เจ้านายหรือผู้บริหาร เขามอบหมายให้ เพราะนั้นคือหน้าที่ ความรับผิดชอบที่จะต้องทำ เพื่อความก้าวหน้า เพื่อตำแหน่ง เพื่อชีวิตของตนเอง
ต้องกล้าที่จะปฏิเสธ จึงเป็นหัวใจหนึ่งที่สำคัญในการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ

...
  
เทคนิคการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
เทคนิคการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ถามว่าคนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ทำไม คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต คนที่ทำงานหรือสร้างผลงานได้มากกว่าคนอื่นๆ จึงสามารถทำงานหรือสร้างผลงานได้มากกว่าคนเป็นจำนวนมาก คำตอบก็คือ คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักจะบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง ในบทความนี้ จึงขอเขียนเรื่อง “ เทคนิคการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ”
คนที่จะเป็นนักบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ เขาจะต้องเป็นคนที่ จัดระเบียบของกิจกรรมเป็น โดยมีเทคนิคดังนี้
1. คุณต้องเขียนกิจกรรมต่างๆหรือเป้าหมายที่คุณต้องการทั้งหมดลงในกระดาษ
2.คุณต้องเขียนเป้าหมายในชีวิต ว่าคุณต้องการประสบความสำเร็จในด้านใด เช่น ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จในการเป็นนักขาย คุณต้องมีเป้าหมายระยะยาว เป้าหมายระยะกลาง เป้าหมายระยะสั้น เป้าหมาย 1 ปี เป้าหมายรายเดือน เป้าหมายรายสัปดาห์ เป้าหมายรายวัน ที่คุณต้องการ ซึ่งอาจจะใช้เป้าหมายเป็นจำนวนเงินหรือยอดขายเป็นตัวตั้ง
3.คุณต้องแบ่งตัวเลขตามเป้าหมายต่างๆให้ชัดเจน เช่น คุณต้องการที่จะเป็นหัวหน้าฝ่าย คุณต้องไปดูข้อมูลหรือศึกษาข้อมูลเก่าๆว่า คุณสมบัติของหัวหน้าฝ่ายขายที่ผ่านมาหรือคนที่เป็นหัวหน้าฝ่ายขาย เขาจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง
4.คุณต้องแบ่งเป้าหมายออกเป็นส่วนๆ เช่น คุณสมบัติของการที่จะเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายขาย คุณจะต้องทำงานอย่างน้อย 3 ปี และมีผลงานทางด้านการขายสะสมไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท คราวนี้ คุณก็จะต้องมาแบ่งแยกเป็น เป้าหมายรายปี เป้าหมายรายเดือน เป้าหมายรายสัปดาห์และเป้าหมายรายวัน
กล่าวคือ อีก 3 ปี ข้างหน้า เราจะต้องมียอดขายสะสม 30 ล้านบาท เราจึงต้องแบ่งออกเป็น 3 ปีและเราจะต้องขายให้ได้ปีละ 10 ล้านบาท ยอดขายรายเดือนเดือนละ 8-9 แสนบาท ยอดขายรายสัปดาห์สัปดาห์ละ 2 แสนกว่าบาท ยอดขายรายวันวันละประมาณ 3 หมื่นบาท เป็นต้น
5.คุณต้องจัดลำดับความสำคัญของกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด โดยยึดหลัก กิจกรรม A B C D ก็ได้ เช่น แบ่งกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่สุดเป็น A กลุ่มลูกค้าระดับกลาง B กลุ่มลูกค้าระดับเล็ก C กลุ่มลูกค้ารายย่อย D (ซึ่งกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ A มียอดสั่งซื้อ 1-3 ล้านต่อปี ในขณะที่ลูกค้ารายย่อย D มียอดสั่งซื้อแค่ปีละ 5 หมื่นบาท ฉะนั้น หากว่าเราขายของให้ลูกค้ากลุ่ม A เพียงแค่ 1 คน จะเท่ากับยอดการสั่งซื้อสินค้าในกลุ่ม D ถึง 20-30 คนเลยทีเดียว ฉะนั้น นักขายชั้นเซียนจึงให้ความสำคัญกับลูกค้ารายใหญ่มากกว่าลูกค้ารายเล็ก ) เป็นต้น
6.คุณต้องหาเครื่องมือช่วย เช่น Computer , ipad , มือถือ , ไดอารี , สมุดนัดหมายงานหรือสมุดวางแผนงาน แล้วบันทึกสิ่งต่างๆลงไปในเครื่องมือที่คุณใช้
7.คุณต้องลงมือทำตามแผนที่คุณได้บันทึกลงไปในเครื่องมือของคุณ อย่างจริงจังและต้องมีวินัยในการปฏิบัติ
8.คุณต้องมีการทบทวน การทำงานของคุณทุกคืน ก่อนนอนว่า ทำไมคุณถึงทำไม่ได้ตามแผนที่คุณวาง แล้วคุณควรที่จะปรับปรุง พัฒนา แผน ต่างๆอย่างไร ต่อไปได้บ้าง แล้ววันพรุ่งนี้ คุณจะทำอะไร ไปพบลูกค้าคนไหน โทรศัทพ์นัดลูกค้าคนไหนบ้าง เป็นต้น
9.คุณต้อง ให้ความสำคัญกับคำว่า “สำคัญกว่าทำก่อน” โดยยึดตารางออกเป็น 4 ช่อง คือ 1.สำคัญและเร่งด่วน 2.สำคัญและไม่เร่งด่วน 3.ไม่สำคัญและเร่งด่วน 4.ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน เราควรให้น้ำหนักกับกิจกรรม ในช่องที่ 1และ2 ส่วนช่องที่ 3และ4 ควรลดจำนวนการใช้เวลาในช่องนี้ (ถ้าหากท่านผู้อ่านท่านใดสนใจ ลองไปศึกษาเพิ่มเติมหรือซื้อหนังสือเกี่ยวกับการบริหารเวลามาอ่านเพิ่มเติมได้ครับ ส่วนใหญ่หนังสือการบริหารเวลาจะมีการเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ)
10.คุณต้อง เรียนรู้เทคโนโลยี ในการช่วยทำงาน ปัจจุบัน เทคโนโลยี มีความทันสมัยและราคาถูกลงเป็นอันมากเมื่อเทียบกับคุณภาพการใช้งาน คุณควรเรียนรู้ เครื่องมือเหล่านี้ เช่น การใช้โทรศัพท์ให้เป็นประโยชน์ในการประสานงานการนัดลูกค้า ซึ่งในโทรศัพท์มือถือมีเครื่องมือช่วยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูปเอกสารต่างๆ เก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐาน , การโอนเงินฝากเงินโดยผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ,การเช็ค E-mail ,การบันทึกเสียงต่างๆ เมื่อคุณต้องเข้ารับการอบรม สัมมนาต่างๆ เพื่อเอามาฟัง , การดูคลิปการอบรม การบรรยายต่างๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ , การติดต่อลูกค้าหรือบุคคลต่างๆ ผ่าน Facebook ผ่าน Line , การขายของผ่านอินเตอร์เน็ตต่างๆ เป็นต้น
11.คุณต้อง พัฒนาตนเองด้วยมิติ การจัดการ PDCA คือ P (Planning) การวางแผน D (Do) การลงมือทำปฏิบัติตามแผน C (Check) ตรวจสอบและประเมินตนเอง A (Action) การปรับปรุงแก้ไขและพัฒนา
นี่คือเทคนิคการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพอย่างคร่าวๆ ซึ่งท่านผู้อ่านคงต้องไปศึกษาเพิ่มเติมในรายละเอียดต่างๆ และก็ลงมือปฏิบัติ แก้ไข ปรับปรุง ก็จะทำให้ท่านเป็นนักบริหารเวลาและใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
...
  
ปัจจัยที่ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินซื้อเสียง
ปัจจัยที่ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินซื้อเสียง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การเลือกตั้งในยุคปัจจุบัน หากท่านต้องการประสบความสำเร็จหรือได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง การใช้เงินในการซื้อเสียง ถือว่าผิดกฎหมาย แต่ก็เป็นปัจจัยแรกๆ ที่ส่งผลให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง สำหรับผู้ที่ไม่มีเงินในการซื้อเสียง ท่านอาจจะได้รับชัยชนะโดยไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง ก็ด้วยปัจจัยดังนี้
1.องค์กรของรัฐที่ดูแลการเลือกตั้ง เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง ต้องต่อต้านการซื้อเสียงเลือกตั้งอย่างเอาจริงเอาจัง อีกทั้งควรเพิ่มบทลงโทษให้หนักและรุนแรงมากขึ้นสำหรับผู้ที่ใช้เงินในการซื้อเสียงเลือกตั้ง
2.เกิดกระแสฟีเวอร์ เช่น ในสมัยหนึ่ง มีกระแสนิยมในตัวของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จนกระทั่งเกิดกระแส จำลองฟีเวอร์ ในขณะเดียวกัน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็ได้ก่อตั้งพรรคพลังธรรมขึ้นมา แล้วก็ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง ผลปรากฏว่า มีประชาชนจำนวนมากได้ลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัครของพรรคพลังธรรม ก็เพราะด้วยความศรัทธาในตัวของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นต้น
3.ความเด่น ความดัง ความมีชื่อเสียง หลายๆคนประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง เช่น อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ นักแสดงดัง เขาแสดงภาพยนตร์หลายๆเรื่อง แต่ที่โด่งดังก็คือเรื่อง คนเหล็ก เขาชนะการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียในปี 2546 และ ปี 2549 สำหรับประเทศไทยเราก็มีคนเด่น คนดัง คนมีชื่อเสียงอีกจำนวนมากที่ไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง
4.การตื่นตัวของประชาชน เช่น หลังเหตุการณ์ วันมหาวิปโยค(14 ตุลาคม 2516) และ หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 17-20 พฤษภาคม 2535 ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นจำนวนมากที่ไม่ใช้เงินในการซื้อเสียง แต่สามารถได้รับชัยชนะ ก็เนื่องมาจากประชาชนในพื้นที่เกิดการตื่นตัวอยากที่จะได้นักการเมืองที่มีคุณภาพมากกว่าต้องการอามิสสินจ้างใดๆ
5.ความโดดเด่นทางการพูด นักการเมืองทั้งในอดีตและปัจจุบัน ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินในการซื้อเสียงก็เนื่องมาจากความสามารถในการพูด เช่น อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั้งๆที่ตนเองก็ไม่ได้มีฐานะการเงินที่ดี แต่เขามีความสามารถในการพูดการสื่อสาร , อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีของชาวเยอรมัน ครอบครัวของเขามีฐานะที่ไม่สูงดีนัก เขาเคยไปเป็นกรรมกร เขาเคยเป็นจินตกรขายภาพวาดสีน้ำ แต่สุดท้ายเขาได้เป็นผู้นำของประเทศเยอรมันนี ก็ด้วยเพราะความสามารถในการพูดจูงใจคนของเขานั้นเอง ประเทศไทยของเราก็มีนักการเมืองหลายๆคนที่มีความสามารถในการพูด ซึ่งทำให้ได้รับชนะในการเลือกตั้งโดยที่ไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง
6.การสร้างผลงานและการสะสมผลงาน นักการเมืองหลายๆคน ได้รับชัยชนะโดยไม่ได้ใช้เงินในการซื้อเสียง ก็เนื่องมาจากการที่ตนเองได้ สร้างผลงานฝากไว้ให้กับคนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก ผู้ว่าราชการจังหวัดหลายๆคน ได้มีการพัฒนา ได้มีการปรับปรุง ได้มีการสร้างสิ่งแปลกๆใหม่ๆให้กับจังหวัดหรือในพื้นที่ ที่ตนไปอยู่ การฝากผลงานและการสะสมผลงาน ให้กับคนในพื้นที่เป็นจำนวนมากๆ เมื่อเกษียณอายุแล้ว ไปลงสมัครรับเลือกตั้ง ผลปรากฏว่าได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นโดยไม่ได้ใช้เงินในการซื้อเสียง
ปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ประสบชัยชนะโดยไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง ซึ่งบุคคลที่ประสบชัยชนะไม่จำเป็นจะต้องมีปัจจัยดังกล่าวข้างต้นทุกปัจจัย บางคนมีแค่ 1-2 ปัจจัยก็สามารถนำมาซึ่งชัยชนะในการเลือกตั้งโดยไม่ต้องใช้เงิน แต่สิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดก็คือ ความรัก ความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ไม่ใช้เงินในการซื้อเสียงจะต้องมีมากพอที่จะเอาชนะอำนาจเงินของนักเลือกตั้งที่ใช้เงินในการซื้อเสียงได้







...
  
การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาด
การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาด

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก

www.drsuthichai.com

การประชาสัมพันธ์มีความสำคัญต่อการทำการตลาด เพราะการประชาสัมพันธ์ ทำให้เกิดความเข้าใจ ทำให้เกิดการสร้างการยอมรับ ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ ทำให้เกิดการชื่มชม ยินดี ทำให้เกิดความร่วมมือ สร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียง แก่บริษัท แก่องค์กร แก่สินค้า

ในความคิดเห็นส่วนตัวของกระผม ถ้าหากบริษัท ห้างร้าน องค์กรใด มีเงินทุนที่จำกัด ถ้าให้เลือกระหว่าง การทำโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ กระผมจะเลือกทำการประชาสัมพันธ์ก่อน เพราะการประชาสัมพันธ์ จะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า และถ้าหากจะเทียบผลตอบแทนแล้ว ประชาสัมพันธ์จะได้รับผลตอบแทนที่มีความคุ้มค่ามากกว่าการโฆษณา

นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เป็นคนหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง ก็โดยการเป็นนักประชาสัมพันธ์ นักการตลาด ให้กับบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัด เขาดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ จนได้รับฉายาว่าเป็นนักสร้างภาพชั้นเซียนของบริษัทโตโยต้า จนกระทั่งผู้บริหารของโตโยต้าที่ญี่ปุ่น ให้เขากระโดดจากตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายไปเป็นกรรมการบริหารโดยไม่ต้องเป็น กรรมการสมทบก่อน โดยการเป็นคนเก่งงานด้านการประชาสัมพันธ์และงานด้านการตลาด ต่อมา เขาได้ เป็น สส.พรรคเพื่อไทย หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท.จำกัด

นอกจากนี้ เขายังเป็นเจ้าของฉายา Image maker ซึ่งเขาก็เอาหลักการประชาสัมพันธ์และหลักการตลาด มาใช้กับบุคคลโดยการทำธุรกิจปั้นดารา ขึ้นมา เพราะเขาคิดว่า ขนาดรถหรือสินค้าต่างๆ สบู่ ยาสีฟัน รองเท้า เสื้อผ้า กางเกง ยังปั้นได้ ทำไม ดาราจะปั้นไม่ได้ ซึ่งเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการปั้นดารา ดาราที่มีชื่อเสียงหลายคนที่เขาปั้น เช่น วิลลี แมคอินทอช ,จอห์นนี่ แอนโฟเน่ , ดอม เหตระกูล , ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง เป็นต้น





ทำไมต้องมีการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด ก็สืบเนื่องมาจากสาเหตุดังนี้

1. ค่าใช้จ่ายในการใช้สื่อโฆษณามีราคาสูงขึ้น ในทางกลับกัน การประชาสัมพันธ์กลับเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อสื่อน้อยกว่า และส่วนใหญ่จะเป็นการขอความอนุเคราะห์ ขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนมากกว่า

2. สื่อต่างๆในยุคปัจจุบัน มีหลายชนิด หลายประเภทมากขึ้นกว่าในอดีต จึงทำให้การใช้สื่อเพื่อการประชาสัมพันธ์ จำเป็นจะต้องมีการวางแผนใช้สื่อที่แยกย่อยมากขึ้น และควรใช้สื่อให้ครบทุกประเภทเพื่อให้กลุ่มลูกค้าและประชาชนได้เห็น ข่าวสารที่เราต้องการสื่อได้มากที่สุด สรุปคือต้องใช้เครื่องมือสื่อสารแบบผสมผสานกัน

3.ทัศนคติ ความต้องการ รสนิยม ความชอบ กระแส ของกลุ่มเป้าหมายมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่อยู่นิ่ง และมีการเปลี่ยนแปลงไวขึ้นกว่าในอดีตที่ผ่านมา

การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาดที่ดี เราอาจจะมีการแบ่งกลยุทธ์หรือวางแผนการประชาสัมพันธ์ออกเป็น 2 รูปแบบ คือ

1. แบบรุก เป็นการประชาสัมพันธ์แบบสร้างสรรค์ คือมุ่งสร้างสรรค์หาโอกาสทางการตลาดใหม่ๆให้กับ บริษัท ห้างร้าน สินค้าของตนเองมากกว่า ที่จะรอคอยให้ปัญหาเกิดขึ้นแล้วถึงจะมาแก้ไข ในภาวะปกติหรือภาวะที่มีการแข่งขันอย่างในปัจจุบัน การประชาสัมพันธ์แบบรุก จึงมีความจำเป็นและมีความสำคัญเป็นอันมาก

2. แบบรับ เป็นการประชาสัมพันธ์ที่มุ่งแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น กับ องค์กร บริษัท ห้างร้าน สินค้าของตนเอง ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านั้น มักที่จะทำลายชื่อเสียง ภาพลักษณ์ที่ดีของสินค้าหรือบริษัท แนวทางในการประชาสัมพันธ์แบบตั้งรับ ก็คือ การเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีความถูกต้อง ชัดเจน เพื่อที่จะแก้ไขปัญหา และ มีการตั้งทีมงานคอยควบคุมข่าวลือ ข่าวสารที่เป็นเท็จ มีการตั้งทีมงานการประชาสัมพันธ์เพื่อที่จะจัดการกับภาวะวิกฤตหรือวิกฤตต่างๆที่จะเกิดขึ้น เป็นต้น

ดังนั้น การประชาสัมพันธ์ จึงมีความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำการตลาดให้กับสินค้า บริการ ในยุคปัจจุบัน ซึ่งหลักในการทำการประชาสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพ เราอาจจะต้องคำนึงถึงปัจจัยดังนี้

1.ต้องใช้มืออาชีพในการวางแผนการทำประชาสัมพันธ์ การประชาสัมพันธ์ที่ดีจะต้องมีนักวางแผนมืออาชีพช่วย ในการวางแผน วางกลุ่มเป้าหมาย วางแนวทางในการทำงาน วางเนื้อหา วางคนในการนำเสนอ วางจังหวะในการรุกและรับ เป็นอย่างดี

2.ต้องเชื่อในพลังแห่งการสื่อสาร มีนักวิชาการเคยกล่าวไว้ว่า “ ใครมีสื่อในมือคนนั้นมีอำนาจ ” หรือ “ สื่อเป็นที่มาของอำนาจ” เพราะหากใคร พูดเก่ง พูดได้ถูกจังหวะ เวลา และรู้ว่าควรพูดผ่านช่องทางไหน เขาย่อมกำชัยชนะ รวมไปถึงงานด้านการตลาดด้วย

3.ต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้มีความชัดเจน ไม่คลุมเครือ เช่น ต้องรู้ว่า ลูกค้ากลุ่มใด วัยใด อายุเท่าไร คือลูกค้าของเรา สินค้าใดมีความเหมาะสมกับ คนเพศใด วัยใด อายุเท่าไร เป็นต้น

4.ต้องมีงบประมาณในการประชาสัมพันธ์ เงินคือปัจจัยหนึ่งที่จะส่งผลให้การประชาสัมพันธ์ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว หรือมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน บริษัท ห้างร้าน จึงต้องจัดสรรเงินในการทำการประชาสัมพันธ์ของสินค้าของตนเอง

5.ต้องมีเครือข่ายสนับสนุน การทำงานประชาสัมพันธ์ให้ประสบความสำเร็จ การหาเครือข่ายต่างๆช่วยเหลือ มีความจำเป็น อย่างมาก เช่น มีสื่อมวลชนช่วย , มีดาราหรือมีบุคคลที่มีชื่อเสียงช่วย , มีนักวิชาการ รวมไปถึงมีมวลชนให้การช่วยเหลือ เป็นต้น

6.ต้องสร้างความถี่ในลูกค้าได้เห็น สินค้า หรือ เจ้าของสินค้า ต้องขยันออกสื่อ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำและสมควรทำ การเสนอหน้าต่อสื่อจะทำให้ลูกค้าเกิดความคุ้นเคย และรู้จักสินค้าของเรามากขึ้น

7.ต้องมีการจัดกิจกรรมพิเศษหรือมีการจัดเหตุการณ์พิเศษบ้าง เช่น การจัดงานแสดงต่างๆ งานแสดงการค้า การแสดงโชว์ การแสดงศิลปะ การแสดงโชว์รถ เป็นต้น

8.ต้องมีการประกาศ เผยแพร่ข้อมูลทางสื่อต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ นิตยสาร เอกสารแจกลูกค้า วิทยุ สื่อสมัยใหม่โดยผ่านช่องทางทางอินเตอร์เน็ต

9.ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมบ้าง โดยผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น กิจกรรมปลูกป่า, กิจกรรมบริจาคหนังสือ , กิจกรรมพัฒนาชนบท ,กิจกรรมสร้างบ้านให้คนยากจน,กิจกรรมอนุรักษ์ธรรมชาติ เป็นต้น

ฉะนั้น การประชาสัมพันธ์จึงมีความสำคัญต่อการทำงานด้านการตลาดเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าทำการประชาสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ก็จะทำให้ บริษัท ห้างร้าน สินค้าของตนเอง ได้รับการยอมรับ ได้รับการสนับสนุน ได้รับผลประโยชน์ จากกลุ่มลูกค้าและประชาชน ตรงกันข้าม ถ้าหาก บริษัทใด ห้างร้านใด สินค้าใด ไม่มีการทำการตลาดผ่านช่องทางการประชาสัมพันธ์ บริษัทนั้น ห้างร้านนั้น สินค้านั้น ก็จะขาดซึ่งการยอมรับ การสนับสนุน จากกลุ่มของลูกค้าและประชาชน ...
  
วิธีสร้างความกล้าในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
วิธีสร้างความกล้าในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนเป็นจำนวนมากเมื่อถูกเชิญให้ขึ้นไปพูดต่อหน้าที่ชุมชนแล้ว มักเกิดอาการประหม่า ไม่มีสมาธิ วิตกกังวล ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง สั่น เกิดความกลัว ไม่สามารถจัดเรียงความคิดให้เป็นปกติได้ สิ่งต่างๆเหล่านี้ เกิดขึ้นกับผู้พูดต่อหน้าที่ชุมชนทุกๆคน แต่สำหรับคนที่ผ่านการฝึกฝน การพูดต่อหน้าที่ชุมชนมาเป็นจำนวนมากหรือขึ้นเวทีบ่อยๆ อาการต่างๆเหล่านี้ ก็จะลดน้อยลงไป ทั้งนี้ ท่านสามารถแก้ไขตัวท่านเอง จากอาการเหล่านี้ได้โดย
1.เริ่มต้นด้วยความรัก ถ้าท่านถูกเชิญให้ไปพูดในหัวข้อต่างๆ แล้วท่านอยากที่จะไป ท่านอยากที่จะพูด นั้นแสดงว่า เมล็ดพันธุ์แห่งความกล้าในการพูดต่อหน้าที่ชุมชนได้ถูกปลูกฝังไปยังตัวของท่านแล้ว แต่ในทางกลับกัน ถ้าท่านถูกเชิญให้ไปพูดในหัวข้อต่างๆ ท่านรู้สึกไม่ชอบ ไม่มีความสุข ท่านก็จะไม่มีความมั่นใจ ท่านจะไม่สนุกกับมัน ความกล้าของท่านก็จะลดลง
2.เตรียมตัว เตรียมเนื้อหา ในการพูดทุกๆครั้ง การเตรียมตัวจะช่วยให้เกิดความกล้า และความมั่นใจมากขึ้นในการพูด ซึ่งการเตรียมตัว ต้องรวมไปถึง การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก่อนที่จะไปพูดจริงๆ อีกทั้ง การเตรียมเนื้อหา ก็ต้องเตรียมให้มากกว่าที่จะไปพูดจริงๆ เพราะถ้าเราเตรียมเนื้อหาไปน้อยกว่าเวลาที่ผู้จัดได้มอบให้ เวลาพูดก็จะเหลือมาก การเตรียมเนื้อหาจึงควรเตรียมเนื้อหาให้มากกว่าเวลาที่เขามอบให้พูด ซึ่งหากว่าใกล้จะหมดเวลา เราก็สามารถตัดทอนเนื้อหาบางส่วนออก เพื่อให้การพูดของเราจบตรงเวลาที่ได้รับมอบหมาย การเตรียมเนื้อหา ยังรวมไปถึง ว่าเราจะขึ้นต้นอย่างไร ตรงกลางเราจะพูดอย่างไร สรุปจบปิดท้าย เราจะพูดอะไรด้วย
3.ฝึกซ้อมการพูด มีความสำคัญมาก เพราะการฝึกซ้อมการพูดจะทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นในการที่จะนำไปพูดจริงๆ เมื่อเรา เตรียมเนื้อหาแล้ว เราก็ควรฝึกซ้อมการพูดของเรา อาจจะฝึกต่อหน้ากระจก ฝึกซ้อมกับบุคคลที่เราคุ้นเคย ฝึกซ้อมในขณะที่ทำกิจกรรมต่างๆคนเดียว ดังเช่น นักพูดที่โด่งดังในระดับโลกในอดีต ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ ฝึกซ้อมการพูดในขณะเดินทางซึ่งต้องอยู่บนหลังม้า(ในอดีตไม่มีรถ เวลาเดินทางไปไหนเป็นระยะเวลาไกลๆ จึงต้องใช้ม้า) , เดล คาร์เนกี ฝึกซ้อมการพูดคนเดียวในขณะถอนหญ้าอยู่ภายในสวน สำหรับกระผม กระผมจะฝึกซ้อมการพูด เวลาเดินออกกำลังกาย ทั้งนี้ การฝึกซ้อมการพูดไม่มีรูปแบบใดที่ดีที่สุดหรือเหมาะสมกับทุกคน แต่ต้องขึ้นอยู่กับตัวบุคคลเป็นหลักว่า ชอบหรือมีจริตอย่างไร
4.รู้จักระงับอาการตื่นเวทีบ้าง ในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน อาการตื่นเวที มีด้วยกันทุกคน เพียงแต่ใครจะมีมากหรือน้อย หรือควบคุมมันได้มากหรือน้อยแค่ไหน เริ่มจากความคิดของเราเองก่อนเป็นอันดับแรก เราต้องไม่คิดฟุ้งซ่าน เราต้องไม่คิดกังวล หลังจากที่เราเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี เราต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่เราเตรียมมา พูดออกไปให้มันเต็มที อีกทั้งควรมีการผ่อนคลาย ผ่อนอารมณ์ เช่น ดื่มน้ำอุ่นๆ สักเล็กน้อย , สูดหายใจลึกๆ ให้เต็มปอดอย่างช้าๆสัก 3-5 ครั้ง เมื่อถูกเชิญก็ควร ยิ้มแย้ม แจ่มใส ปรับทางเดินอย่างกระตือรือร้น พร้อมทั้งปรากฏกายอย่างสง่าผ่าเผย กระฉับกระเฉง
5.หาเวทีแสดงบ่อยๆ ความขลาดกลัวเกิดจากความไม่มั่นใจ ความไม่มั่นใจเกิดจากการทำสิ่งเหล่านั้นยังไม่มากพอหรือบ่อยพอ วิธีที่ทำให้เกิดความกล้าหรือความมั่นใจก็คือ ทำสิ่งนั้นบ่อยๆ ถ้าท่านกลัวการขี่ม้า ไม่มีวิธีอื่นที่จะทำให้ท่านกล้าขี่ม้าได้ นอกจากการที่ท่านต้องขึ้นไปขี่มัน ฉะนั้น ถ้าท่านกลัวสิ่งไหน ก็เข้าไปหาสิ่งนั้น ถ้าท่านกลัวการขึ้นไปพูดต่อหน้าที่ชุมชน ไม่มีทางอื่นที่จะทำให้ท่านกล้าขึ้นมาได้ มีทางเดียว คือ ท่านจะต้องขึ้นไปพูดบ่อยๆ นั้นเอง


...
  
การพูดและการเป็นโฆษกที่ดี
การพูดและการเป็นโฆษกที่ดี
ดร. สุทธิชัยปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพิษณุโลก
www.drsuthichai.com
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของคำว่า
โฆษกหมายถึงผู้ประกาศ ผู้โฆษณา เช่นโฆษณาสถานีวิทยุ ผู้แถลงข่าว แทนเช่นโฆษกพรรคการเมือง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ได้ให้ความหมายของคำว่า
โฆษกหมายถึง ผู้ประกาศ ผู้โฆษณา หรือผู้แถลงข่าวแทน
ดังนั้น ความหมายของโฆษก โดยรวมก็คือ ผู้เป็นปากเป็นเสียงแทน ผู้ประกาศ ผู้โฆษณา ผู้ที่ทําหน้าที่ ส่งมอบข่าวสาร และข้อมูลต่างๆ ให้แก่สาธารณชน หรือประชาชนได้รับรู้
คุณลักษณะของการเป็นโฆษกที่ดีคือ
1 มีข้อมูลมีข่าวสารมีความรู้ มีความเข้าใจในเรื่องที่ตัวเองพูด
2 มีความน่าไว้วางใจมีความน่าเชื่อถือ
3 เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เป็นที่ชื่นชอบของสาธารณชนหรือสื่อมวลชน
4 มีความสามารถทางด้านการพูดการสื่อสาร
โฆษกควรมีทักษะในการสื่อสารที่ดีดังนี้
1 การใช้คำ อย่างถูกต้อง เหมาะสม
2 การใช้น้ำเสียง การใช้เสียง ประกอบ การพูดให้ถูกต้องกับสถานการณ์ นั้นๆ
3 การใช้อวัจนภาษา การใช้ท่าทางประกอบการพูด อย่างสอดคล้องเหมาะสม
จากเนื้อเพลง ผู้ใหญ่ลี
พศ 2504 ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม
ชาวบ้านต่างมาชุมนุม มาประชุมที่บ้านผู้ใหญ่ลี
ต่อไปนี้ผู้ใหญ่ลีจะขอกล่าว ถึงเรื่องราวที่ได้ประชุมมา
ทางการเขาสั่งมาว่า ทางการเขาสั่งมาว่า
ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ดเลี้ยงสุกร
ฝ่ายตาสีหัวคลอน ถามว่าสุกรนั้นคืออะไร
ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด
สุกรนั้นไซร้คือหมาน้อยธรรมดา
หมาน้อย หมาน้อยธรรมดา หมาน้อย หมาน้อยธรรมดา
จากเนื้อเพลงข้างต้น จะสะท้อนให้เห็นถึงการสื่อสารระหว่างข้าราชการหรือทางการกับชาวบ้าน ที่มีความผิดพลาด มีความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน เราสามารถนำมาวิเคราะห์โดยผ่าน กระบวนการสื่อสาร ว่า เกิดความผิดพลาดตรงไหน อย่างไร
กระบวนการสื่อสาร มีดังนี้
1 ผู้ส่งสาร 2 สาร 3 ช่องทาง 4 ผู้รับสาร
1 ผู้ส่งสาร คือ ข้าราชการ ผู้รับนโยบาย จากรัฐบาล มาส่งต่อให้กับผู้นำชุมชน
2 สาร คือ การส่งเสริมให้ชาวนาและเกษตรกร เลี้ยงเป็ดและ สุกร(หมู)
3 ช่องทาง คือ การประชุม การใช้ไมโครโฟนพูดในที่ประชุม
4 ผู้รับสาร คือ ผู้ใหญ่ลี ที่เข้าใจผิด คิดว่า คำว่าสุกร หมายถึง หมาน้อย
จากกรณีศึกษาข้างนี้ เราจะแก้ไขอย่างไร...ให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุดหรือไม่เกิดความผิดพลาดขึ้น...
ข้อที่ 1 ผู้ส่งสาร ควรเปิดโอกาสให้มีการซักถาม ปัญหา หรือความไม่เข้าใจต่างๆ จากผู้รับสาร
ข้อที่ 2 สาร ผู้ส่งสารได้ใช้ภาษาราชการ ซึ่งมาจากส่วนกลาง เพราะในยุคนั้นชาวบ้านหรือผู้นำท้องถิ่นมักจะ คุ้นเคยกับภาษาท้องถิ่น(หมู)มากกว่าภาษาจากส่วนกลาง(สุกร) เพื่อลดความผิดพลาด ควรใช้ภาษาท้องถิ่น หรือภาษาที่ชาวบ้านใช้ในท้องถิ่นนั้นๆ สื่อสารจะเกิด ประสิทธิภาพ มากขึ้น
ข้อ 3 ผู้รับสาร คือผู้ใหญ่ลี เมื่อเกิดความไม่เข้าใจ หรือข้อสงสัย ก็ควรสอบถาม ข้าราชการ หรือทางการ ที่ส่งสาร หรือข้อมูล
...
  
โฆษกกับการพูดที่ดี
โฆษกกับการพูดที่ดี
ดร. สุทธิชัยปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การเป็นโฆษกที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การพูด ซึ่งเป็นการสื่อสารระหว่างบุคคลที่ง่ายกว่าการเขียน แต่จะเกิดข้อผิดพลาดได้ง่ายกว่าการเขียน
พล.เอก ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรีได้เคยกล่าวไว้ว่า “ ก่อนพูดเราเป็นนายคำพูด หลังพูดคำพูดเป็นนายของเรา”
พวกเราหลายคนคงเคยเล่นเกมส์การสื่อสารโดยการพูด โดยให้คนมาเรียงแถวกัน แล้วให้คนอยู่หัวแถวกระซิบบอกประโยคหนึ่งไปให้คนที่สองและคนที่สองก็กระซิบให้คนถัดไป จนถึงคนสุดท้าย แล้วคนสุดท้ายบอกข้อความที่คนหัวแถวได้พูดเอาไว้ ผลปรากฏว่า เนื้อหามีความผิดเพี้ยนไปจากข้อความเดิม
แต่ในทางกลับกัน หากว่าเราเขียนข้อความให้ คนหัวแถวอ่านแล้วส่งข้อความไปให้คนที่สองอ่านและคนที่สองก็ส่งข้อความให้คนถัดไป จนถึงคนสุดท้าย แล้วให้คนสุดท้ายอ่าน ผลปรากฏว่า เนื้อหาที่เขียนก็ยังคงเดิม
ฉะนั้น ผู้ที่เป็นโฆษกที่ดี จึงต้องมีความสามารถในการถ่ายทอดทางการพูดอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดความผิดพลาดที่น้อยที่สุด
เพื่อให้ก่อประสิทธิภาพในการพูด โฆษกควรคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ในเวลาพูด คือ
1.วิเคราะห์ผู้ฟัง ว่าผู้ฟังเป็นใคร มีความต้องการอะไร รวมไปถึงเรื่องของ เพศ วัย อายุ อาชีพ
2.ต้องตั้งใจฟัง เพราะถ้าอยากจะรู้ว่า ผู้ฟัง มีความต้องการอะไร ในเวลาสนทนากัน ผู้ที่เป็นโฆษกจะต้องตั้งใจฟัง เพื่อจะได้รับรู้ความต้องการของผู้ฟังที่แท้จริง
3.น้ำเสียงที่พูดต้องมีความเหมาะสมกับเรื่องที่พูด เพราะถ้อยคำบอกถึงภาษา แต่น้ำเสียงทำให้เกิดความหวั่นไหวขึ้นภายในจิตใจ เช่น ผมตะคอกสุนัขหรือหมาด้วยน้ำเสียงที่ดุ เสียงดัง แล้วบอกสุนัขหรือหมาให้ “ มา , มา , มานี้ ” ปรากฏว่าสุนัขหรือหมากลัว ถอยห่าง แต่ตรงกันข้าม ผมทำเสียงเบาๆ ไล่หมา “ ไป , ไป , ไป” ปรากฏว่า สุนัขหรือหมากับมาเลียที่เท้า ผม ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ผมไล่สุนัขหรือหมาให้ไป มันกับมาเข้าใกล้ผม ผมเรียกมา มันกลับไม่อยากที่จะเข้าใกล้ผม เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะน้ำเสียงของผมไงครับ
4.การใช้คำพูด ภาษาอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะการพูดต่อหน้าที่ชุมชน เมื่อโฆษกได้มีโอกาสทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ ผู้ประกาศ ตามเวทีหรือตามรายการวิทยุ ก็คนเรียกชื่อคน ตำแหน่งของคนให้ถูกต้องแม่นยำ ไม่ควรกล่าวชื่อหรือตำแหน่ง ผิดๆ ถูกๆ
5.การใช้สีหน้า ท่าทาง ควรเหมาะสมกับสถานการณ์ที่พูด เช่น เมื่อเกิดสถานการณ์หรือมีภัยพิบัติ ผู้คนล้มตาย เวลาไปพูด ก็ไม่ควรพูดเรื่องที่ตลก ทำหน้าท่าทางยิ้มแย้ม แจ่มใส เพราะผู้คนเขายังอยู่ในอาการที่โศกเศร้า
6.สาระของเนื้อหาที่จะพูด ต้องมีการเตรียมตัว เรียงร้อยลำดับเรื่องที่จะพูด เช่น จะขึ้นต้นอย่างไร เนื้อหาอย่างไร สรุปจบอย่างไร ตลอดจนเนื้อหาควรมีการอ้างอิง ทฤษฏี หลักฐาน ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ
สำหรับข้อควรระวังเมื่อท่านต้องเป็น โฆษก คือ
1.ไม่ควรกล่าวแนะนำตัวเองมากจนเกินไป เพราะผู้ฟังอยากที่จะฟังเนื้อหา สาระ ข้อมูล ข่าวสาร มากกว่า อีกทั้งการพูดถึงตัวเองมากเกินไป คนฟังมักจะหมั่นไส้โฆษกได้
2.ควรอ่านหรือพูดออกเสียง ชื่อ นามสกุล ตำแหน่ง ของวิทยากรหรือบุคคลที่เราแนะนำให้ถูกต้อง ไม่ผิดพลาด
3.ไม่ควรใช้ภาษาที่เข้าใจยาก ในการพูด บางคน ใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษคำไทยคำ
4.ควรเข้าไปสอบถาม วิทยากรหรือผู้พูดที่เราต้องการแนะนำว่า ชื่อ สกุล ตำแหน่ง ข้อมูลต่างๆถูกต้องหรือไม่ ทางที่ดีก็ควรพิมพ์ไปให้เขาอ่าน ตรวจทานความถูกต้องเสียก่อน
...
  
มโนภาพกับการพูด
มโนภาพกับการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
มโนภาพมีความสำคัญมากๆต่อการพูดต่อหน้าที่ชุมชน บุคคลที่ขาดมโนภาพ ไม่สามารถเป็นนักพูดที่ยิ่งใหญ่ได้ และไม่สามารถพูดจูงใจให้คนคล้อยตามได้
มโนภาพ คือ ภาพที่สร้างขึ้น ภาพที่จินตนาการขึ้น ภายในใจหรือภายในสมอง
นักพูดระดับผู้นำโลก เกือบทุกคน ผมเชื่อว่า เขาใช้มโนภาพกับการพูด กล่าวคือ ก่อนที่เขาจะออกไปพูด เขามักสร้างภาพของตนเองหรือจินตนาการว่า ตนเอง ได้ขึ้นไปพูดบนเวทีต่อหน้าประชาชน เช่น
อดีตประธานาธิบดีลินคอล์นของสหรัฐ ก่อนจะขึ้นพูด เขาจะมีการเตรียมตัว ซ้อม แล้วมโนภาพว่า เขาจะพูดอะไร เขาจะทำท่าทางประกอบการพูดอย่างไร เวลาขึ้นพูดบนเวที
ฮิตเล่อร์ อดีตผู้นำประเทศเยอรมันนี ก็เช่นกัน มีคนเคยเห็น ฮิตเล่อร์ ชอบอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน เขาจะมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วเขาจะสร้างมโนภาพหรือจินตนาการขึ้น ว่าเขาจะนำประเทศชาติให้ก้าวหน้าอย่างไร และจะแสดงการพูดของเขาอย่างไรกับประชาชนของเขา
การสร้างมโนภาพหรือการสร้างจินตนาการ ไม่ได้มีเฉพาะในเรื่องการพูดเท่านั้น คนที่ประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ ก็มักจะใช้มโนภาพหรือจินตนาการทั้งสิ้น
ไอสไตน์ นักวิทยาศาสตร์ระดับโลก เขาเคยกล่าวไว้ในตอนที่เขามีชีวิตอยู่ว่า “ จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” ทำไมเขาถึงได้กล่าวเช่นนี้ ก็เพราะว่า เขาคิดค้นทฤษฏีสัมพัทธภาพ ได้ก็เพราะจินตนาการนั่นเอง
นักขายผู้ยิ่งใหญ่ เขามักจะจินตนาการอยู่เสมอว่า เขาพูดเสนอการขาย แล้วลูกค้าซื้อของของเขา นักขายที่ประสบความสำเร็จมักจะพูดให้ลูกค้าเห็นภาพ เพราะ สุภาษิตจีนได้กล่าวว่า ภาพเพียง 1 ภาพ แทนคำพูดได้เป็น 1,000 คำ
สำหรับการสร้างมโนภาพหรือจินตนาการ นั้น ศาสตราจารย์ปอลชาโกด์ ได้ให้คำแนะนำเอาไว้ว่า ให้เราพยายามวาดภาพอะไรที่เราต้องการจนเห็นติดตา เช่น ก่อนไปสถานที่ใด ก็พยายามหลับตา แล้วสร้างภาพว่าตนเองกำลังขับรถยนต์ไปยังสถานที่แห่งนั้น แล้วได้พบบุคคล สิ่งของต่างๆในสถานที่แห่งนั้น ถึงแม้ว่า เวลาเราไปจริงๆ จะเกิดความแตกต่างกับที่เราจินตนาการ ก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นการฝึกสร้างมโนภาพหรือจินตนาการจนเคยชินนั้นเอง
เช่นกัน เวลาผมจะไปเป็นวิทยากรหรือไปพูดแต่ละแห่ง ผมมักจะสร้างมโนภาพหรือจินตนาการว่า ผมได้ขึ้นไปพูดบนเวที มีคนมานั่งฟังผมพูดเต็มห้องอบรม ผมได้ทำท่าทางต่างๆประกอบการพูด ผมจะเดินขึ้นบนเวทีด้วยความเชื่อมั่น เป็นต้น
ดังนั้น ผู้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น นักปรัชญา นักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ นักธุรกิจ นักสื่อสารมวลชน รวมไปถึงนักพูดด้วย หากต้องการประสบความสำเร็จจะต้องสร้างมโนภาพหรือจินตนาการให้เกิดขึ้นภายในใจหรือภายในสมอง
เพราะถ้านักพูดคนใด มีการสร้างมโนภาพหรือจินตนาการขึ้นมา เขาก็จะมี สำนวนโวหารที่เป็นของตนเอง มีการใช้ถ้อยคำที่ไพเราะ มีการใช้ถ้อยคำที่สื่อให้เห็นภาพ รวมไปถึง การใช้ท่าทาง น้ำเสียง บุคลิก ต่างๆ ในเวลาพูดด้วย


...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.