หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
อบรม คุณครู จังหวัดสุพรรณบุรี
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เป็นวิทยากรบรรยายในการอบรมโครงการพัฒนาครูรูปแบบครบวงจร หลักสูตร " ระบบพัฒนานักเรียนรายบุคคล ด้วยกิจกรรมชุมนุม" (STUDENT CLASSIFIATION) เมื่อวันที่ 28-291 กรกฏาคม 2561 ณ ห้องกาลพฤกษ์ 2 โรงแรมสองพันบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ...
  
กลยุทธ์การตลาดในการแข่งขันระดับโลก
กลยุทธ์การตลาดในการแข่งขันระดับโลก
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การแข่งขันในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกับการแข่งขันในยุคอดีตอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้ากว่าในอดีต (เทคโนโลยีทางด้านอินเตอร์เน็ต,เทคโนโลยีทางด้านยานยนต์,เทคโนโลยีทางด้านเครื่องมือที่ช่วยในการทำงาน ฯลฯ) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสื่อสารที่มีความรวดเร็ว สะดวก ราคาถูก ชัดเจนมากกว่าในอดีต
โลกของการแข่งขันจึงมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ในปัจจุบันเราจะสังเกตเห็นว่า โลกมีความเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น เราจะเห็นคนต่างประเทศเข้ามาอยู่ในประเทศไทยกันมากขึ้น มีเสรีภาพมากขึ้นกว่าในอดีต เราสามารถที่จะติดต่อสื่อสารกับคนทั่วโลกได้อย่างง่ายดายโดยผ่านสื่ออินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสื่อ E-mail , การพูดคุยกัน การเขียนผ่านสื่อจำพวก Facebook , Line , twitter ฯลฯ เรามีการใช้ชีวิตเหมือนโลกตะวันตก การแต่งตัว การกิน การใช้ชีวิต การดูหนังและการฟังเพลง(ซึ่งใช้ภาษาอังกฤษ) เรามีร้าน KFC , mcdonald's , 7-11 , Mister Donut , Coca-Cola(โค้ก) ฯลฯ ซึ่ง สินค้าพวกนี้ ร้านค้าพวกนี้ มีขายในหลายประเทศทั่วโลก
ฉะนั้น เจ้าของกิจการต่างๆที่อยู่ในประเทศไทย ถ้ามองในแง่ของการแข่งขันในด้านการตลาด ก็สามารถมองได้ 2 แง่มุมก็คือ มุมลบ(เราคงแข่งขันกับบริษัทระดับโลกยาก,เราคงสู้กับเขาไม่ได้) และมองอีกมุมหนึ่งก็คือ มุมบวก(เรามีโอกาสมากขึ้นกว่าในอดีต เราสามารถขยายกิจการ ขยายตลาด ไปได้ทั่วโลกแบบบริษัทระดับโลก)
ในบทความฉบับนี้ ผู้เขียนจึงต้องการเขียนเกี่ยวกับ กลยุทธ์การตลาดในการแข่งขันระดับโลก ซึ่งมี 4 วิธีคือ
1. กลยุทธ์ระหว่างประเทศ (International Strategy)
2. กลยุทธ์ข้ามชาติ (Multinational Strategy)
3. กลยุทธ์ระดับโลก (Global Strategy)
4. กลยุทธ์ส่งผ่านข้ามชาติ (Transnational Strategy)
สำหรับรายละเอียด มีดังนี้
1.กลยุทธ์ระหว่างประเทศ (International Strategy) คือกลยุทธ์ในการจัดการทางด้านธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการขายบริการ การขายสินค้า ผลิตภัณฑ์ จากบริษัทในประเทศแม่ไปยังบริษัทต่างๆที่มีสาขาซึ่งตั้งในประเทศอื่น ซึ่งนโยบายหลักยังคงเป็นเป็นบริษัทในประเทศแม่เป็นผู้ดูแลอยู่ แต่ในบางกรณีอาจให้บริษัทตัวแทนที่อยู่ในประเทศอื่น สามารถทำการบางอย่างได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อตกลงที่ตกลงร่วมกัน เช่น บริษัท McDonald, บริษัทP&G เป็นต้น
2.กลยุทธ์ข้ามชาติ (Multidomestic Strategy) คือกลยุทธ์ที่มีการกระจายอำนาจ กระจายการตัดสินใจให้บริษัทตัวแทนในต่างประเทศเป็นผู้ดูแลมากขึ้น เช่น การปรับเปลี่ยนราคา การปรับเปลี่ยนสินค้า และการบริการ เพื่อให้เข้าถึงความต้องการของคนในประเทศนั้นๆ มากขึ้นและมีความง่ายและรวดเร็วในการแข่งขัน เช่น KFC ของไทยมีข้าวยำไก่แซ่บ KFCของฮังการีมี Qurrito(อกไก่ เชดดาร์ชีส ซอสบาร์บีคิว อัดแน่นในแผ่นตาร์ตียา) KFC ของเม็กซิโก มีCruji jalapeno (ไก่ทอดชุบซอสพริกฮาลาเปนโญ่) KFCของแคนาดา มีPoutine(เฟรนซืฟรายส์ราดด้วยน้ำเกรวีและชีส) KFC ของไต้หวันมีข้าวต้มใส่ไก่ทอด KFC ของบังกลาเทศมี Tom yum burger KFC ของศรีลังกามี Buryani (ข้าวหมกไก่สไตล์ศรีลังกา) KFCของอินเดีย มีPaneer zinger เป็นเบอร์เกอร์ที่ใส่ชีสสดปานีร์มาก KFC ของฟิลิปปินส์ มี Chizza คือไก่ทอดพิซซ่า KFC ของเกาหลีใต้มี เบอร์เกอร์ Zinger Double Down Maxx เป็นต้น
3.กลยุทธ์ระดับโลก (Global Strategy)คือกลยุทธ์ที่มุ่งเน้น การสร้างมาตราฐานเดียวกันทั่วโลก ซึ่ง บริษัท สินค้า ผลิตภัณฑ์ การบริการ จะต้องเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก โดยบริษัทจะใช้ ฟรีเซ็นเตอร์ในการนำเสนอคนเดียวกันที่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก ซึ่งกลยุทธ์ระดับโลกนี้ ผู้ใช้สินค้าหรือผู้บริโภคจะต้องเป็นผู้ที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับตัวของสินค้า ตัวผลิตภัณฑ์และบริการเอง เช่น น้ำหอมยี่ห้อดังระดับโลก
4.กลยุทธ์ส่งผ่านข้ามชาติ (Transnational Strategy) คือกลยุทธ์ที่ต้องการลดต้นทุนในการผลิตเนื่องมาจาก ต้นทุนในการผลิตมีต้นทุนที่สูงขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนสินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการให้สนองตอบความต้องการของคนในประเทศนั้นๆ ด้วย
ฉะนั้น ผู้บริหาร ที่จะทำการตลาดในระดับโลก คงต้องทำการบ้านและศึกษาค้นคว้าให้มากขึ้นก่อนที่จะกำหนดการใช้กลยุทธ์ใดในการทำการตลาดในระดับโลกซึ่งคงต้องคำนึงถึงศาสตร์อื่นๆประกอบด้วยเช่น เศรษฐศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ภาษาศาสตร์ นิติศาสตร์ สถิติ ประชากรศาสตร์ มนุษยวิทยา วัฒนธรรม เป็นต้น
อีกทั้งคงต้องคำนึงถึงองค์ประกอบของการตลาดคือ 4 Ps ผลิตภัณฑ์ (Product) ราคา (Price) สถานที่ (Placement) การโฆษณา (Promotion) การวิจัยทางการตลาดระดับโลก (Global Marketing Research) ผู้อ่านหลายท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงคิดว่า มันคงยากในการทำกลยุทธ์การตลาดในการแข่งขันระดับโลก แล้วมีสินค้าไทยตัวไหนบ้างที่พอแข่งกับเขาได้ มีครับ เช่น Redbull เป็นต้น
...
  
นักการตลาดยุคดิจิทัล
นักการตลาดยุคดิจิทัล
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีมีความทันสมัย ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ แปลกๆตลอดเวลาเฉพาะในโลกของอินเตอร์เน็ต ซึ่งโลกของอินเตอร์เน็ตมีการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร การค้าขาย การเมือง ตลาดหุ้น ความรู้ การศึกษา การกีฬา ฯลฯ ไปทั่วทุกมุมโลก
ดังนั้น นักการตลาดดิจิทัลจึงเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วนักการตลาดยุคดิจิทัลต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง นักการตลาดยุคดิจิทัลควรมีคุณสมบัติดังนี้
1.ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาและรักการเรียนรู้ ในโลกยุคนี้ เป็นโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง มีความรู้และสินค้าแปลกๆใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น นักการตลาดยุคดิจิทัล ต้องเป็นนักอ่านมาก นักฟังมาก นักอบรมสัมมนา อยู่ตลอดเวลา จึงจะสามารถติดตามความรู้ ข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ อย่างท่วงทันที
เช่นในยุคนี้ มีการพูดถึงคำศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่ๆ ในโลกของอินเตอร์เน็ต ซึ่งนักการตลาดจะต้องรู้และทำความเข้าใจถึงจะสามารถสื่อสารไปยังลูกค้าได้หรือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น คำว่า Reach , Awareness ,. Impression, Content Marketing , Engagement , Conversion , Viral, Digital Marketing ,SEO , SEM ฯลฯ คำศัพท์เหล่านี้ เป็นคำศัพท์ที่นักการตลาดยุคดิจิทัล ควรรู้และทำความเข้าใจ ถ้าหากว่าท่านยังไม่รู้ ก็ควรหาข้อมูลและทำการศึกษาเพื่อนำเอาไปใช้ในการทำงานต่อไป
2.ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ ชอบสิ่งใหม่ๆ ชอบการเปลี่ยนแปลง เพราะโลกยุคนี้ อะไรๆ ก็รวดเร็วไปหมด โดยเฉพาะเทคโนโลยี ไม่ว่า มือถือ , คอมพิวเตอร์ , โปรแกรมหรือเครื่องมือต่างๆที่ใช้ผ่านอินเตอร์เน็ต มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง หากว่า ท่านต้องการจะเป็นนักการตลาดยุคดิจิทัล ท่านต้องเป็นคนชอบเรียนรู้ ชอบทดลอง เมื่อมีนวัตกรรมใหม่ๆ ในโลกของอินเตอร์เน็ตโดยเล่นผ่านหรือเชื่อมโยงผ่านมือถือหรือคอมพิวเตอร์ ท่านต้องรีบทดลองใช้ เครื่องมือที่ใช้ผ่านอินเตอร์เน็ตบางเครื่องมือ ใช้ได้เพียงแค่ 1-2 เดือน ก็ไม่นิยมใช้แล้ว แต่มีของใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ฉะนั้น นักการตลาดยุคดิจิทัล ต้องกล้าใช้ กล้าที่จะทดลอง เพื่อนำเอาไปใช้ในการทำการตลาด ไม่ว่าจะเป็น Hi5,Youtube, Facebook,Twitter,Line,Instagram,แอปและเกมต่างๆ เป็นต้น
3.ต้องเป็นนักจับกระแสทางการตลาดได้ เครื่องมือที่ใช้ในโลกอินเตอร์ เช่น Facebook,Twitter,Line,Instagram,แอปและเกมต่างๆ ความนิยมที่มีอาจจะมีไม่เท่ากัน บางยุคบางสมัย คนนิยมเล่น Hi5 แต่เดี๋ยวนี้คนกลับนิยมเล่น Facebook ส่วน Hi5 แทบไม่มีคนรู้จักในยุคปัจจุบัน ดังนั้น นักการตลาดยุคดิจิทัล จะต้องจับกระแสให้ได้ว่า ปัจจุบันลูกค้า ใช้เครื่องมืออะไรหรือชอบเล่นอะไร เพื่อที่เราจะสามารถติดต่อสื่อสารและขายสินค้าบริการกับลูกค้าของเราได้
4.ต้องวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าและวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าได้ เช่นต้องรู้ว่า ลูกค้าของเราเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง อายุเท่าไร สถานที่อยู่อาศัย ชอบอะไร สนใจอะไร
ซึ่งในยุคปัจจุบันเราสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ ช่วยในการวิเคราะห์ เช่นใน Facebook มีเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ว่า เราสามารถที่จะโฆษณาใน Facebook กับกลุ่มผู้ชายหรือผู้หญิง มีอายุเท่าไร สนใจเกี่ยวกับอะไร อยู่จังหวัดอะไร เราสามารถกำหนดเป้าหมายในการโฆษณา Facebook ได้
5.ต้องเป็นนักสื่อสารที่ดี ต้องสามารถให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ ต้องสามารถนำเสนอสินค้า บริการ ผลิตภัณฑ์ ที่ทำให้ดูแล้วน่าสนใจ อีกทั้งต้องมีการนำเสนอบ่อยๆ ซ้ำๆ เพื่อก่อให้เกิดการจดจำได้ โลกยุคดิจิทัล บริษัทเล็กๆ มีงบประมาณน้อย แต่สามารถสร้างความจดจำได้ดีกว่า บริษัทใหญ่ๆ ที่มีงบประมาณมากๆ ปัจจัยหนึ่งก็คือ นักการตลาดยุคดิจิทัลของบริษัทเล็กๆที่ประสบความสำเร็จ มักจะเป็นนักสื่อสารที่ดี สร้างความแปลกใหม่ สร้างความสนใจให้แก่กลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่า นักการตลาดยุคดิจิทัลของบริษัทใหญ่ๆ พูดง่ายๆว่า บริษัทเล็กๆ มี Content ที่ดีกว่า ดึงดูดใจกลุ่มลูกค้ามากกว่านั้นเอง
6.ต้องเป็นนักหาข้อมูลและสามารถนำเอาข้อมูลมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ นักการตลาดยุคดิจิตอลจะต้องรู้ว่า จะหาข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าหรือข้อมูลที่เราต้องการได้จากแหล่งไหน และสามารถนำเอาข้อมูลมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ เช่น นักการตลาดยุคดิจิทัลบางคนที่เก่งในการหาข้อมูล เขาสามารถหาข้อมูลจาก เว็บไซต์ถึง 10 เว็บไซต์ได้ในเวลาเดียวกัน โดยหาผ่านคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมือสื่อสารต่างๆถึง 10 เครื่อง โดยเว็บไซต์เหล่านั้น เขาหาผ่าน Google + เพราะ Google + สามารถทำการวิเคราะห์ข้อมูลให้ด้วย
7.ต้องสามารถเขียนภาษาอังกฤษได้ ถ้าหากว่าต้องการจะขายสินค้า บริการ ผลิตภัณฑ์ ไปทั่วโลก นักการตลาดยุคดิจิทัล ต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นตัวสื่อสารให้คนหรือลูกค้าทั่วโลกได้รู้จักสินค้า บริการ ผลิตภัณฑ์ของเรา เพราะถ้าเราเขียนภาษาไทยลงไปในโฆษณาในอินเตอร์เน็ต คนไทยเท่านั้นหรือคนอ่านภาษาไทยซึ่งมีจำนวนน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่สามารถอ่านภาษาอังกฤษออก ฉะนั้น นักการตลาดยุคดิจิทัล จำเป็นจะต้อง เขียนภาษาอังกฤษหรือพูดภาษาอังกฤษได้ หากต้องการสื่อสารลงใน Youtube
ดังนั้น หากว่าท่านมีคุณสมบัติข้างต้น กระผมเชื่อว่าท่านจะเป็นนักการตลาดดิจิทัลที่เก่งและเป็นนักกาตลาดดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

...
  
Attraction Marketing การตลาดแบบดึงดูด
Attraction Marketing การตลาดแบบดึงดูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การตลาดแบบ Attraction Marketing เป็นการตลาดที่ดึงความสนใจของผู้บริโภค ของผู้มุ่งหวัง ให้มาขอซื้อสินค้าหรือมาขอทำธุรกิจเครือข่ายกับเรา โดยที่เราไม่ต้องไปเสนอขอให้เขามาทำธุรกิจเครือข่ายหรือซื้อสินค้าจากเรา ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดเดิมๆ ที่ต้องไปเสนอขายสินค้าหรือนำเสนอขายธุรกิจเครือข่าย ซึ่งทำให้เกิดความน่าเบื่อหน่าย ความน่ารำคาญ จากลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง จากพฤติกรรมการตามตื้อ ตามง้อของเรา
แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่า เมื่อใช้การตลาดแบบ Attraction Marketing คนจะไม่ปฏิเสธ
หรือถูกโดนปฏิเสธจากลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง เพราะเป็นธรรมดางานขายหรืองานนำเสนอจะต้องมีทั้งการตอบรับและการถูกปฏิเสธ
การตลาดแบบ Attraction Marketing ส่วนใหญ่มักจะทำกันในโลกอินเตอร์เน็ตหรือโลกออนไลน์ เพราะ โลกออนไลน์มีลักษณะเป็น Mass สูง เป็นโลกของ Social ที่ทันสมัย แต่คนจำนวนมากมักคิดว่า ถ้าอย่างไร เราต้องโพสต์หรือส่งข้อความของบริษัทของเรา สินค้าของเรา ตัวเรามากๆ คนเขาจะได้เข้ามาซื้อหรือเข้ามาติดตาม
แต่จริงๆแล้ว การตลาดแบบ Attraction Marketing จะต้องมีการนำเสนอ Content และการนำเสนอ Profile ที่น่าสนใจ จึงจะสามารถดึงดูดผู้คนรวมทั้งลูกค้าและผู้มุ่งหวังมาให้สนใจเรามากกว่าการโพสต์หรือการส่งข้อความเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีความแตกต่าง ไม่มีความน่าดึงดูด ให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาสนใจ
กล่าวคือ เราจะต้องสร้างมูลค่าให้กับตัวเราเองเสียก่อน การสร้าง Brand จึงเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จะต้องนำเอามาใช้ เพราะการสร้าง Brand จะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือ สร้างความจดจำ สร้างความศรัทธาภายในใจของกลุ่มเป้าหมาย จนกระทั่งกลุ่มเป้าหมายอยากที่จะซื้อสินค้าหรืออยากจะทำงานร่วมกับเรา
การรู้จักกลุ่มเป้าหมายจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญในการทำการตลาดแบบ Attraction Marketing ให้ประสบความสำเร็จ เช่น ในตลาดแชมพู มีหลายยี่ห้อ เราต้องรู้ก่อนว่า กลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าของเราคือใคร คนที่มีผมเสีย ผมแตกปลายใช่หรือไม่ คนที่มีผมเป็นรังแคใช่หรือไม่ คนที่มีผมร่วงใช่หรือไม่ คนที่เป็นเด็กใช่หรือไม่ เมื่อเรารู้กลุ่มเป้าหมายแล้ว เราจึงสามารถทำการตลาดแบบดึงดูด กลุ่มเป้าหมายของเราได้สำเร็จ ไม่ใช่ดึงดูดทุกกลุ่มเข้ามา เพราะถ้าทำเช่นนั้น ก็จะเป็นการสิ้นเปลืองเงินทอง สิ้นเปลืองเวลา สิ้นเปลืองงบประมาณ สิ้นเปลืองทรัพยากรต่างๆ โดยใช่เหตุ
การสร้างการตลาดแบบดึงดูดมีองค์ประกอบดังนี้
1.การสร้าง Brand โดยผ่านเครื่องมือออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นผ่านเวปไซด์ และ Social Media เช่น Youtube , twitter , Facebook , Line , Blog ฯลฯ
2.การสร้างช่องทางการสื่อสารให้แก่ผู้มุ่งหวังหรือลูกค้า ให้สามารถติดต่อกับเราได้และเราก็สามารถติดต่อเขาได้ เช่น E-mail พูดคุยผ่าน Facebook , Massager , Line , E-mail , Instragram เป็นต้น
3.การสร้างหรือรวบรวมข้อมูลต่างๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการทำการตลาด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลของลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง(กล่าวคือเราต้องรู้จักกลุ่มเป้าหมายของเราด้วย) ข้อมูลของบริษัทของสินค้า ข้อมูลบทความ ความรู้ต่างๆ เคล็ดลับการทำงานให้ประสบความสำเร็จ เป็นต้น
4.การสร้างหรือการส่งมอบสิ่งดีๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ เคล็ดลับต่างๆ ผ่านช่องทางการสื่อสารที่ได้มีการเตรียมไว้ และเมื่อลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังต้องการติดต่อก็สามารถตอบหรือหาข้อมูลต่างๆ ส่งไปให้ได้
แล้ว ธุรกิจใดเหมาะที่จะนำ Attraction Marketing การตลาดแบบดึงดูด มาใช้มากที่สุด สำหรับในความคิดของกระผม ธุรกิจเครือข่ายครับ หรือ ธุรกิจที่ต้องการสมาชิกเป็นจำนวนมากๆ ยอดขายมากๆ ซึ่ง Attraction Marketing การตลาดแบบดึงดูด สามารถช่วยได้ ดังเราจะสังเกตเห็นว่า หลาย เว็ปไซค์ของธุรกิจเครือข่าย มักจะมีการนำเสนอ Content และการนำเสนอ Profile ที่น่าสนใจ เพื่อดึงดูดผู้คน ให้เข้ามาอ่าน เข้ามาดู และอีกหลายเว็ปไซค์ ก็จะมีการเปิดโอกาสให้คนที่สนใจ ฝากเบอร์โทรศัพท์ อีเมล์(Email Marketing) เพื่อติดต่อกลับ หากว่าสนใจในตัวของบริษัท สินค้า หรือบริการ ด้วย
ซึ่ง Email Marketing เป็นส่วนหนึ่งของ Attraction Marketing พวกเราลองไปศึกษาเพิ่มเติม เพราะการใช้ Email Marketing อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยเพิ่มการดึงดูดได้มากยิ่งขึ้น เราจะไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปหาลูกค้าเพื่อคุยเกี่ยวกับข้อมูลต่างๆ เราจะรู้ได้ว่า กลุ่มเป้าหมายของเราคือใคร(คนที่สนใจธุรกิจของเราหรือตัวเราจริงๆ) ยิ่งบริษัทใดมีรายชื่อลิสต์ลูกค้ามากๆ การไปพูดคุยต่อตัวต่อ ยิ่งทำได้อย่างยากลำบาก เสียเวลา เสียเงินทอง เสียค่าใช้จ่ายต่างๆ การใช้ Email Marketing จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ติดต่อลูกค้าได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งตอบสนอง ในโลกยุคออนไลน์หรือในโลกยุคนี้ ซึ่งแตกต่างจากในอดีต ที่พนักงานขายหรือผู้นำธุรกิจเครือข่ายจะต้องเดินทางไปพูดคุยตัวต่อตัว หรือโทรศัพท์พูดคุยกัน หากมีจำนวนไม่มากก็ไม่น่ามีปัญหาแต่ถ้ามีเป็นจำนวนมากหลายพันคน หลายหมื่นคน คงลำบากที่จะติดต่อ
สำหรับธุรกิจเครือข่ายหลายบริษัทที่มีการทำการตลาด Attraction Marketing อย่างมีประสิทธิภาพ มักจะวางระบบไว้อย่างดี ทำให้มีการปิดการขายหรือมีการปิดรับสมัครคนเข้าในเครือข่ายได้เป็นจำนวนมาก
โดยสรุปแล้ว การทำ Attraction Marketing การตลาดแบบดึงดูด เป็นเครื่องมือเครื่องมือหนึ่งในการทำการตลาด และถ้าต้องการทำอย่างได้ผล เราจะต้องรู้จักกลุ่มเป้าหมายของเราเสียก่อน เราจะต้องสร้างความแตกต่าง เราจะต้องสร้างความจดจำ เราจะต้องหาช่องทางในการติดต่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย เราจะต้องมอบสิ่งที่ดีๆให้แก่กลุ่มเป้าหมาย จนกระทั่งกลุ่มเป้าหมายมาติดต่อเราเอง ขอความรู้จากเรา ขอคำแนะนำ ขอคำปรึกษาจากเรา ขอซื้อสินค้าจากเรา หรือพูดง่ายๆ คือ เราได้หัวใจของกลุ่มเป้าหมายนั่นเอง

...
  
Celebrity Marketing
Celebrity Marketing
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
Celebrity Marketing (เซเลบริตี้ มาร์เก็ตติง) คือ การนำบุคคล คนดัง คนมีชื่อเสียง เช่น ดารา นักร้อง นักการเมือง นักสื่อสารมวลชน นักกีฬาชื่อดัง มาช่วยในการทำการตลาด เพราะบุคคล คนดัง มักจะเป็นที่รู้จักของสาธารณชนอยู่แล้ว จึงไม่ต้องเสียเวลาในการแนะนำตัว อีกทั้ง บุคคล คนดัง มักจะมีแฟนคลับหรือคนที่ติดตามผลงานอยู่เป็นจำนวนมาก
ดังนั้น บุคคล คนดัง มักจะเป็นผู้นำทางความคิด จิตวิญญาณ เป็นต้นแบบ ของผู้ติดตาม จึงทำให้บุคคลที่เป็นแฟนคลับหรือผู้ติดตามเลียนแบบทั้งทางด้านพฤติกรรม เลียนแบบการใช้ชีวิต เครื่องแต่งกาย ทรงผม รวมไปถึงการใช้สินค้าและบริการของบุคคล คนดังหรือบุคคลที่เป็นต้นแบบ การตลาดสมัยใหม่จึงนำสิ่งเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ ซึ่งบางบริษัทสามารถนำเอาไปใช้จนได้ผลทำให้เกิดกระแสโด่งดังขึ้นในสังคม ซึ่งการตลาดแบบ Celebrity Marketing มีประโยชน์ต่อการทำธุรกิจหลายอย่างดังนี้
1.Celebrity Marketing ช่วยทำให้สินค้าติดตลาดได้อย่างรวดเร็ว
2.Celebrity Marketing ช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าและบริการเป็นจำนวนมาก เป็นการเพิ่มยอดขาย
3. Celebrity Marketing ช่วยส่งเสริมภาพพจน์หรือภาพลักษณ์ในตัวของสินค้าและบริการ
4. Celebrity Marketing ช่วยให้ภาพการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ฉะนั้น จากข้อความข้างต้น การใช้บุคคล คนดัง หรือ Celebrity Marketing มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งถ้ารู้จักประยุกต์ใช้ เพราะจะทำให้สินค้าและบริการของเรา ติดตลาดในช่วงเวลาอันสั้นเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้บุคคลที่ไม่มีชื่อเสียงโฆษณา ประชาสัมพันธ์ สืบเนื่องมาจาก เมื่อผู้บริโภคเห็นบุคคล คนดัง ก็มักจะนึกถึงสินค้าและบริการ ที่บุคคล คนดัง โฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือ เมื่อผู้บริโภคเห็น สินค้าและบริการที่โฆษณา ประชาสัมพันธ์ ก็จะคิดถึงบุคคล คนดัง อีกทั้งช่วยให้เกิดยอดขายเป็นจำนวนมาก เมื่อเกิดยอดขายมากขึ้น ธุรกิจก็มีโอกาสในการคืนทุนได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
สำหรับข้อด้อยในการใช้ Celebrity Marketing คือ การใช้บุคคล คนดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ต้องใช้เม็ดเงินเป็นจำนวนมากในการว่าจ้างบุคคล คนดัง อีกทั้งเมื่อบุคคล คนดัง มีปัญหาคือมีคดี ขึ้นศาล หรือทำตัวให้ภาพลักษณ์ของตนเองเสียหาย ก็จะส่งผลกระทบกับตัวสินค้าและบริการตามไปด้วย ดังนั้นการเลือก ฟรีเซ็นเตอร์ จะต้องใช้เวลาในการตัดสินใจ และใคร่ครวญว่าจะใช้ใครมาเป็น Celebrity Marketing
สำหรับเรทค่าตัวดาราชายและดาราหญิงในประเทศไทยเรา 6 อันดับแรก (ข้อมูลจากเว็บไซค์ สยาม ดารา http://www.siamdara.com/hot-news/thai-news/1071916)
อันดับที่ 1 เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย สปอนเซอร์เจ้าใด กระเป๋าหนักสามารถจ่ายค่าตัวที่สูงลิบลิ่วเกือบ 30 ล้านบาทได้ ก็จะได้ตัวซุปเปอร์สตาร์ยอดนิยมอย่าง "ป๋าเบิร์ด" ไปเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าอย่างแน่นอน
อันดับที่ 2 อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ บรรดาเจ้าของสินค้าแบรนด์ดังต่างแย่งชิงตัวกันชุลมุน ถึงแม้ว่าค่าตัวของสาว Hot(ฮอต) รายนี้จะสูงลิบไม่ต่ำว่า 10 ล้านบาท
อันดับที่ 3 ชมพู่ อารยา เอฮารเก็ต ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์เครื่องสำอางดังกับราคาค่าตัวที่ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทเช่นกัน
อันดับที่ 4 ณเดชน์ คูกิมิยะ มีผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาจับจองกันแทบไม่เว้น เรตค่าตัว "ณเดชน์" สูงถึง 10 ล้านบาท
อันดับที่ 5 ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่ ค่าเหนื่อยของ "ใหม่-ดาวิกา" สนนราคาจิ๊บๆ เพียงแค่ 10 ล้านเท่านั้น!
อันดับที่ 6 ญาญ่า อุรัสยา สเปอร์บัน "ญาญ่า" ดำรงตำแหน่งพรีเซ็นเตอร์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้ "สาวญาญ่า" คว้าพรีเซ็นเตอร์ไปกว่า 30 ตัวเลยทีเดียว! กับราคาเบาๆ ไม่แรงเท่ารุ่นพี่ 7-10 ล้านบาทเท่านั้น!
ฉะนั้น Celebrity Marketing (เซเลบริตี้ มาร์เก็ตติง) คือ กลยุทธ์ทางการตลาดแบบหนึ่ง ซึ่งบริษัท สามารถนำเอากลยุทธ์ทางการตลาดไปใช้กับ สินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการ ได้ หากประยุกต์ใช้ ปรับใช้อย่างได้ผล ก็จะทำให้เกิดยอดขาย เม็ดเงิน ผลกำไร กลับคืนมายังบริษัทอย่างมหาศาล
ทั้งนี้การใช้ Celebrity Marketing ที่ดีควรใช้ผสมผสานหรือพิจารณาปัจจัยทางการตลาดกับกลยุทธ์อื่นๆด้วย ก็จะยิ่งทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เช่น กลยุทธ์ IMC (Integrated Marketing Communication)
เราจะเห็นได้ว่าการใช้ กลยุทธ์ IMC (Integrated Marketing Communication) จะทำให้เกิดการต่อยอดและทำให้การใช้กลยุทธ์ Celebrity Marketing ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะการใช้สื่อสมัยใหม่ช่วย เช่น การใช้ Twitter , Facebook , Line , Instagram เป็นเครื่องมือทำการตลาดบน Social Media
ซึ่งการใช้บุคคล คนดัง เพื่อทำ Celebrity Marketing ควรคำนึงถึง แบรนด์ บุคคลหรือคนดังด้วยว่า สอดคล้องหรือมีภาพลักษณ์ไปกับสินค้า บริการของเราด้วยหรือไม่ ซึ่ง แบรนด์บุคคลหรือคนดัง ที่นำมาใช้ควรมีคุณลักษณะที่สำคัญ ดังนี้
-มีความน่าเชื่อถือ(Believe)และ มีความไว้วางใจ(Trust) กล่าวคือสามารถสร้างภาพลักษณ์ให้กับตราสินค้า (Credibility) ของเราได้
-มีภาพลักษณ์ที่มีเสน่ห์และสามารถดึงดูดความสนใจลูกค้าหรือผู้บริโภคให้มาสนใจตราสินค้า (Attractiveness) ของเราได้
ตัวอย่างเช่น ไทเกอร์ วู้ด นักกีฬากอล์ฟมืออาชีพอันดับ 1 ของโลก ส่วนใหญ่บริษัทที่ผลิตเกี่ยวกับ ไม้กอล์ฟ รองเท้ากีฬา เสื้อผ้า กางเกง หมวก กีฬา มักจะใช้ ไทเกอร์ วู้ด เป็นพรีเซ็นเตอร์ โฆษณา ประชาสัมพันธ์ ให้กับสินค้าของตนเอง
สำหรับข้อที่ควรคำนึงถึงในการใช้ฟรีเซ็นเตอร์ คือ การใช้บุคคล คนดัง ควรมีบุคลิกภาพ นิสัย ใจคอ ตรงกับแบรนด์ของสินค้า , การใช้บุคคล คนดัง ที่ Hot (ฮอต)มากๆ ไปเป็นฟรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าหลายตัว อาจจะทำให้ผู้บริโภคจดจำไม่ได้ว่าเป็นฟรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าใด แบรนด์ใดบ้าง เราควรหลีกเลี่ยงฟรีเซ็นเตอร์นั้น , การใช้บุคคล คนดัง ไม่ควรผูกติดกับคนๆเดียว เพราะการใช้คนๆเดียว มีทั้งประโยชน์และโทษ คือ ประโยชน์ทำให้ลูกค้า ผู้บริโภค จดจำ บุคคล คนดังกับสินค้า ผลิตภัณฑ์ของเรา ส่วนข้อด้อยคือเมื่อบุคคล คนดัง คนนั้นตายไปก็ย่อมส่งผลกระทบต่อแบรนด์ได้เช่นกัน
ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกที่ช่วยส่งเสริมให้ Celebrity Marketing ประสบความสำเร็จ เช่น การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ , การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย , การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เป็นต้น


...
  
อาวุธทางการตลาด การสร้างแบรนด์
อาวุธทางการตลาด การสร้างแบรนด์

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก

www.drsuthichai.com

สภาพแวดล้อมในการแข่งขันในยุคปัจจุบันทำให้ธุรกิจทุกประเภท ต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับการแข่งขัน ซึ่งรวมไปถึงหน่วยงานในองค์กรราชการด้วย ก็มีความจำเป็นที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคปัจจุบัน

เมื่อองค์กรจำเป็นจะต้องมีการปรับตัว ฉะนั้น หน่วยงานต่างๆ ที่ทำงานอยู่ภายในองค์กรเองก็มีความจำเป็นที่จะต้องมีการปรับตัว ไม่ว่าฝ่ายบุคคล ฝ่ายการเงิน ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายการตลาด

สำหรับบทความที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ กระผมขอพูดถึงเฉพาะเรื่องของการตลาด และขอเขียนถึงเฉพาะเรื่องของการสร้างแบรนด์ ซึ่งการสร้างแบรนด์มีความสำคัญมากในการทำการตลาดขององค์กร ของบุคคล ของสินค้า ของบริการ ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์มีดังนี้

1.จงสร้างการจดจำในแบรนด์ให้กับลูกค้า เช่น

เมื่อกล่าวถึง KFC ท่านคิดถึงอะไร หลายคนบอกว่า คิดถึง ผู้พัน KFC คิดถึงไก่ทอด

เมื่อกล่าวถึง Nike ท่านคิดถึงอะไร หลายคนบอกว่า คิดถึง รองเท้า คิดถึงคำว่า Just do it และคิดถึงเครื่องหมายถูก

เมื่อกล่าวถึง Volvo ท่านคิดถึงอะไร หลายคนบอกว่า คิดถึง รถที่มีความปลอดภัยสูง

เมื่อกล่าวถึง Marlboro ท่านคิดถึงอะไร หลายคนบอกว่าคิดถึง บุหรี่ คิดถึงเคาบอยและคิดถึงสีแดง

เมื่อกล่าวถึง Benz ท่านคิดถึงอะไร หลายคนบอกว่า คิดถึง รถที่มีราคาแพง รถที่มีความหรูหรา สมฐานะ มีระดับ

ฉะนั้น ท่านต้องการให้ลูกค้าจดจำสินค้า บริการ องค์กร ของท่านในแง่มุมใด จงเขียนมันออกมา จงทำการบ้านก่อนที่จะเริ่มโฆษณา เริ่มประชาสัมพันธ์ เพราะเมื่อท่านยังหาคำตอบไม่ได้ว่าจะให้ลูกค้าจดจำท่านในแง่มุมใด ท่านก็จะเสียเวลา เสียเงินทองในการโฆษณา ในการประชาสัมพันธ์ สินค้า บริการ องค์กร โดยเปล่าประโยชน์

2.จงสร้างโลโก้ (Logo Design) พร้อมทั้งสโลแกน ขึ้นมา

Logo Design เป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่แทนตัวของสินค้า บริการ องค์กร การออกแบบโลโก้ จึงมีความละเอียดอ่อน ควรต้องคำนึงถึงเรื่องของสี เรื่องของตัวอักษร เรื่องของขนาดตัวอักษร เรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ที่สามารถสื่อสารผ่านโลโก้

การสร้างสโลแกน ก็เช่นกัน ควรใช้คำพูด ถ้อยคำ ความหมายที่สามารถทำให้ลูกค้า จดจำหรือสามารถทำให้ลูกค้าพูดได้จนติดปากได้ยิ่งดี ส่วนใหญ่ สโลแกนมันจะเป็นคำสั้นๆ มีความคล้องจองกัน

3.จงสร้างความแตกต่างของสินค้า บริการ องค์กร เพื่อนำไปสู่การสร้างแบรนด์ที่มีความแตกต่าง เมื่อสินค้า บริการ องค์กร มีลักษณะคล้ายคลึงกันหรือเหมือนกันกับคู่แข่ง การสร้างแบรนด์ที่แตกต่างกันกับคู่แข่งขัน ก็จะเป็นเรื่องยาก แต่ถ้า ตัวสินค้า บริการ องค์กร มีความแตกต่างกันกับคู่แข่ง การสร้างแบรนด์ให้มีความแตกต่างกับคู่แข่งขันจะทำได้ง่ายกว่า

4.จงสร้างเนื้อหาในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ให้โดนใจเพื่อให้แบรนด์เป็นที่จดจำ หลายคนทำธุรกิจประเภท SME หรือธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก มักบ่นว่า ไม่มีงบประมาณในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ เหมือนธุรกิจขนาดใหญ่ แต่จริงๆ แล้ว ในยุคปัจจุบัน ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถ ทำการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ในราคาที่ถูก และแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ เช่น นำโฆษณาและประชาสัมพันธ์ไปลงในอินเตอร์เน็ต ( Youtube , Blog , Facebook,เว็ปไซค์ ฯลฯ) แต่ทั้งนี้ ท่านจะต้องทำเนื้อหาของเรื่องที่จะโฆษณาให้โดนใจ จึงจะสร้างการจดจำให้แก่ผู้ดูได้

ฉะนั้น บริษัทใหญ่ มีงบประมาณจำนวนมาก ทำโฆษณาในโทรทัศน์คนดู 1 ล้านคน เสียเงินเป็นจำนวน 10 ล้านบาท ตรงกันข้าม หากท่านเป็นบริษัทขนาดกลางขนาดเล็ก ท่านใช้เงินแค่ 1 หมื่นบาทหรือไม่กี่พันบาท แล้วนำไปลงใน Youtube มีคนดูถึง 3 ล้านคน นั้นแสดงว่า ท่านสามารถใช้งบประมาณจำนวนน้อย แต่สามารถเอาชนะบริษัทใหญ่ที่ใช้งบประมาณมาก

5.จงสร้างแบรนด์ ให้มีความเชื่อมโยงกัน ความจริงเราสามารถแบ่งการสร้างแบรนด์ได้หลายประเภท เช่น 1.แบรนด์บริการ 2.แบรนด์สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ 3.แบรนด์องค์กร 4.แบรนด์บุคคล 5.แบรนด์สถานที่หรือเมือง(ตัวอย่างสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ)

ฉะนั้น การสร้างแบรนด์ เราควรคำนึงถึงการเชื่อมโยงกันหรือการสร้างแบรนด์ไปพร้อมๆกัน ก็จะเกิดผลกระทบหรือเกิดความสนใจมากกว่าการสร้างแบรนด์แค่ประเภทเดียว เช่น ปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่า เจ้าของบริษัท มักจะใช้ตนเองในการนำเสนอสินค้าโดยการลงโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ดังตัวอย่าง ตัน ภาสกรนที ใช้ตนเองในการนำเสนอสินค้า(ชาเขียว) โดยผ่านสื่อโฆษณา สื่อประชาสัมพันธ์

6.จงให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่นๆด้วยในการสร้างแบรนด์ เช่น ผลิตภัณฑ์ สินค้า บริการต้องมีคุณภาพจริงๆ , ต้องมีการนำเสนอสินค้าอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ไม่หยุด , วิธีการสื่อสารต้องเหมาะสมมีความสัมพันธ์กับตัวของสินค้า รวมไปถึงการออกแบบเว็ปไซค์ , ต้องมีการวางแผนที่ดี , ภาพลักษณ์ของแบรนด์ต้องไม่ขัดแย้งกันเอง

จากปัจจัยข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า การสร้างแบรนด์มีความสำคัญมากในการทำการตลาดขององค์กร การสร้างแบรนด์ ก่อให้เกิดกำไร การสร้างแบรนด์ทำให้เกิดผลดีในระยะยาว ฉะนั้น นักการตลาดที่เก่งหรือนักการตลาดมืออาชีพ จึงต้องคำนึงเรื่องของการสร้างแบรนด์ มาเป็นอันดับต้นๆ ...
  
เรียนอย่างไรให้มีความสุข
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com บรรยาย เรียนอย่างไรให้มีความสุข

 ให้แก่น้องนักศึกษาวิทยาลัยเทคโนโลยีจังหวัดพะเยา จังหวัดพะเยา
...
  
บรรยาย กฏหมาย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ บรรยาย ประสบการณ์ชีวิต การใช้ชีวิต และกฏหมาย ณ วัดราชคึกฤห์วิทยา จังหวัดพะเยา กับโครงการโรงเรียนในโครงการยุติธรรมอุปถัมภ์ ...
  
สู่ความเป็นสุดยอด...นักการตลาดมือทอง....
สู่ความเป็นสุดยอด...นักการตลาดมือทอง....
โดย...ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก นักพูด วิทยากร นักเขียน
www.drsuthichai.com
ถ้าพูดถึงนักการตลาด ใครๆ ก็อยากที่จะเป็นสุดยอดมือทองทางด้านการตลาด แต่การตลาดเป็นเรื่องของ ศาสตร์และศิลป์ ซึ่งจำเป็นจะต้องเรียนรู้อย่างต่อเนื่องไม่หยุด อีกทั้งไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอนตายตัว คนที่จะเป็นนักการตลาดมือทองมีความจำเป็นจะต้องปรับศาสตร์ที่เรียนรู้ให้เข้ากับสถานการณ์หรืออาจกล่าวได้ว่า นักการตลาดมือทองต้องมีศิลป์ในการใช้ศาสตร์ทางด้านการตลาดให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์นั้นเอง ในบทความนี้จะพูดกลยุทธ์ต่างๆที่นักการตลาดต้องเรียนรู้ซึ่งมีดังนี้
1.การตลาดแบบ Attraction Marketing เป็นการตลาดที่ดึงความสนใจของผู้บริโภค ของผู้มุ่งหวัง ให้มาขอซื้อสินค้าหรือมาขอทำธุรกิจเครือข่ายกับเรา โดยที่เราไม่ต้องไปเสนอขอให้เขามาทำธุรกิจเครือข่ายหรือซื้อสินค้าจากเรา ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดเดิมๆ ที่ต้องไปเสนอขายสินค้าหรือนำเสนอขายธุรกิจเครือข่าย ซึ่งทำให้เกิดความน่าเบื่อหน่าย ความน่ารำคาญ จากลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง จากพฤติกรรมการตามตื้อ ตามง้อของเรา
2.การตลาดแบบ CRM ซึ่ง CRM หมายถึง วิธีการต่างๆ ที่เราจะนำเอาไปใช้ในการบริหารลูกค้าให้เกิดความรู้สึกที่ดี มีความผูกพันธ์กับสินค้า ,บริการ หรือหน่วยงานของเรา เมื่อลูกค้ามีความผูกพันธ์ในทางที่ดี ชอบเรา รักเรา แล้วลูกค้าคนนั้นก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจไปซื้อสินค้าหรือบริการอื่น ในขณะเดียวกันก็จะเกิดการบอกต่อไปยังเพื่อนๆ จึงทำให้เรามีฐานลูกค้าที่มั่นคงและเพิ่มขึ้น
C คือ Customer เราต้องรู้จักลูกค้าของเราก่อนว่าลูกค้าคือใคร แบ่งกลุ่มได้กี่กลุ่ม เราจะเก็บข้อมูลอย่างไร และเราจะสร้างฐานลูกค้าอย่างไร
R คือ Relationship ความสัมพันธ์ ทำอย่างไรจะสร้างความสัมพันธ์เพื่อให้เกิดชุมชนหรือเพื่อให้เกิดครอบครัวใหญ่
M คือ Management เราจะติดต่อกับลูกค้าหรือสื่อสารกับลูกค้าอย่างไร เมื่อไร จะบริหารจัดการลูกค้าอย่างไร
ฉะนั้น CRM จึงต้องอาศัยเป้าหมายและการวางแผน ว่าปีหนึ่งเราจะติดต่อกับลูกค้ากี่ครั้ง เมื่อไร เดือนไหน พร้อมทั้งมีการเสนอขายสินค้าและบริการเมื่อไร เพราะถ้ามีลูกค้าแต่ไม่มีการสั่งซื้อก็ไม่มีประโยชน์อะไร
3.การตลาดแบบ E-Commerce มีความสำคัญมากในการทำธุรกิจ การบริหาร การจัดการ เพื่อทำให้องค์กรเกิดความก้าวหน้า เกิดกำไร เกิดความมีชื่อเสียง ทำไมต้องทำการตลาด E-Commerce เพราะ โลกยุคนี้เป็น โลกของการรวมเป็นหนึ่ง โลกแห่งการสื่อสาร โลกแห่งเครือข่าย โลกแห่งการไร้ซึ่งขอบเขต ซึ่งทำให้ประเทศไทยและหน่วยงานธุรกิจจะต้องทำงานค้าขายร่วมกับประเทศต่างๆ มากยิ่งขึ้น
หากพูดถึงเรื่องของการตลาดในยุคก่อน เรามักมีการใช้การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ แต่ยุคนี้ สื่อที่มีความสำคัญและมาแรงมาก ได้แก่ สื่อทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีคนใช้การเกือบครึ่งโลก การตลาดแบบ E-Commerce จึงเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้สำหรับการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน
4.การตลาดแบบสร้างสรรค์ เนื่องจากยุคปัจจุบันและยุคอนาคตเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว และไม่หยุดนิ่ง หากเรามองกลับไปยังยุคอดีตเราจะเห็นว่า สินค้าหลายๆตัวได้หายไปจากการแข่งขันในยุคปัจจุบัน เช่น
- การใช้บริการโทรเลขได้เป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว เด็กยุคใหม่จะไม่รู้จักอีกต่อไป สาเหตุก็มาจาก มีผู้ใช้บริการน้อย เทคโนโลยีมีความทันสมัย มีโทรศัพท์มือถือ มีระบบอินเตอร์เน็ต อีเมล์ต่างๆ มารองรับ อีกทั้งมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ที่สูง ฉะนั้นการบริการโทรเลข จึงได้หยุดให้บริการนับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2551
- การใช้เครื่องพิมพ์ดีด ก็มีจำนวนที่ลดน้อยลง โรงงานผลิตจึงต้องลดจำนวนผลิต บางแห่งมีการปิดตัวไปเลยก็มี สาเหตุหนึ่งก็เกิดจาก การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆออกมาแทนที่ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่อง Ipad โทรศัพท์บางรุ่นบางยี่ห้อ ก็สามารถใช้พิมพ์งานได้อย่างสบาย
ดังนั้น เมื่อเราเข้าสู่ยุคของการแข่งขันที่เสรีและรวดเร็ว บริษัท ห้างร้าน หน่วยงานต่างๆ ก็คงต้องพยายาม สร้างสรรค์ตัวสินค้า ตัวผลิตภัณฑ์ และการทำการตลาดอย่างสร้างสรรค์มากขึ้น เพื่อให้ทันสมัย ทันเหตุการณ์ ทันต่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตลอดเวลา
5.การตลาดแบบ Digitalmarketing Communication คือ การสื่อสารในการทำการตลาดบนโลก Online ซึ่งต้องอาศัย Internet โดยผ่านเครื่องมือหรือ Technology ที่ทันสมัย เช่น คอมพิวเตอร์ มือถือสมาร์ทโฟน และต้องอาศัยการสื่อสารผ่านช่องทาง Social Network คือ Blog หรือ บล็อก ,ไมโครบล็อก (Microblog) เป็นเว็บไซต์ขนาดเล็ก, โซเชียลเน็ตเวิร์คเว็บไซต์ (Facebook, Linkedin, Myspace, Hi5 ) , เว็บโซเชียลบุ๊คมาร์ค (Bookmark Social Site) รวมถึง Youtube , INSTAGRAM ,GOOGLE,FLICKR เป็นต้น
6.การตลาดแบบ Marketing Mindset คืออะไร Marketing Mindset คือความคิด ความเชื่อ ทางการตลาดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมต่อการกระทำของบุคคลนั้นๆซึ่งความคิด ความเชื่อ Mindset ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน
Mindset จึงเหมือนกับแบบแปลนบ้าน ก่อนที่จะสร้างบ้าน เราควรมีแบบแปลนบ้านเสียก่อน ไม่ใช้คิดจะปลูกบ้าน สร้างบ้าน ก็สร้างเลย ถ้าทำเช่นนี้ อาจจะทำให้เกิดการผิดพลาดในการก่อสร้างได้ แล้วผลที่ตามมาก็คือ ต้องเสียเวลา เสียเงินทอง ในการแก้ไข ปรับปรุง เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของตนเอง แต่ถ้าเรามีแบบแปลนบ้าน เราก็จะสร้างบ้านได้ตามแผนหรือแบบแปลน ทำให้ไม่เสียเวลา ไม่เสียค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น
Marketing Mindset จึงมีความสำคัญ ถ้าใครมี Marketing Mindset ที่ผิด เขาก็จะเกิดความผิดพลาดในการทำงานด้านการตลาดและต้องเสียเวลาแก้ไข ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ฉะนั้น ก่อนที่จะเป็นนักการตลาดที่ดีและประสบความสำเร็จ นักการตลาดควรมี Marketing Mindset เป็นของตนเองเสียก่อนซึ่ง Marketing Mindset ของแต่ละคนนั้นอาจจะไม่เหมือนกัน
7.การตลาดแบบครบเครื่องเรื่องการสื่อสารการตลาด ภาษาอังกฤษมักเรียกว่า Integrated Marketing Communication หรือเรียกย่อว่า IMC เป็นการพัฒนาการสื่อสารการตลาดที่นำการสื่อสารหลายๆรูปแบบมาผสมผสานกันอย่างต่อเนื่องเพื่อไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
IMC มีความจำเป็นแค่ไหน มีความจำเป็นเป็นอันมากในยุคปัจจุบันและอนาคต ตามความเป็นจริงแล้วในยุคปัจจุบัน เราต้องยอมรับกันว่า สื่อต่างๆมีมากขึ้น สื่อบางอย่างที่นิยมในอดีตมีราคาแพงขึ้น ผู้บริโภค สามารถรับสื่อต่างๆได้อย่างมากมายกว่าในอดีต
IMC กับการส่งเสริมตราสินค้า IMC สามารถส่งเสริมตราสินค้าได้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตราสินค้า มีความสัมพันธ์กับราคา ความคุ้มค่า หากว่าตราสินค้าไหน เป็นที่รู้จักมาก โอกาสที่ลูกค้าจะซื้อสินค้า บริการ ก็ยิ่งจะมีมากขึ้น อีกทั้งในยุคปัจจุบัน มีคู่แข่งรายใหม่ๆ เข้ามาสู่ตลาดมากขึ้น หากไม่มีการทำ
IMC ก็จะถูกแย่งลูกค้าไปได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น เราจำเป็นที่จะต้องมีการสื่อสารตราสินค้า อันได้แก่ การโฆษณา,การขายโดยพนักงานขาย,การประชาสัมพันธ์,การส่งเสริมการขาย,การจัดโชว์รูม,การใช้ยานพาหนะของบริษัทเคลื่อนที่,การใช้ป้ายต่างๆ,การใช้สื่อทางอินเตอร์เน็ต,การจัดนิทรรศการ,การใช้ผลิตภัณฑ์เป็นสื่อ เป็นต้น
IMC ที่ยอดเยี่ยมมักจะต้อง ใหม่ แปลก ใหญ่ ดัง กล่าวคือ หากทำสื่อต่างๆ ออกมาเหมือนกับคู่แข่งในท้องตลาด ก็จะไม่ได้รับความสนใจจากลูกค้าเท่าที่ควร ตรงกันข้าม หากว่าเราทำสื่อต่างๆออกมาอย่างสร้างสรรค์ให้ 1.ใหม่ 2.แปลก 3.ใหญ่ 4.ดัง หากเป็นลักษณะนี้ ก็จะสร้างความจดจำและเป็นที่ประทับใจของลูกค้าได้มากกว่า
ดังนั้น หากท่านผู้อ่านได้เรียนรู้และนำเอาการตลาดแบบต่างๆ 7 ข้อข้างต้นเอาไปประยุกต์ใช้กับงานทางด้านการตลาดของตนเอง กระผมเชื่อว่า ท่านจะเป็นนักการตลาดมือทองในที่สุด
...
  
จงมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อนำไปสู่ความเป็นเลิศ
จงมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อนำไปสู่ความเป็นเลิศ
โดย..ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก นักพูดและนักเขียน
www.drsuthichai.com
ไม่ว่าคุณทำงานอาชีพอะไร ไม่ว่าคุณจะอยู่วงการอะไร ถ้าคุณต้องการความเป็นเลิศ คุณจำเป็นจะต้องมุ่งมั่นทุ่มเท พวกเราจะเห็นได้ว่า บุคคลที่เป็นสุดยอดของโลก ไม่ว่าวงการใดๆ เขาจะต้องทำงานหนัก เขาจะต้องมีความขยันขันแข็งมากกว่าคนปกติธรรมดาทั่วๆไป
- ไทเกอร์ วูดส์ นักกอล์ฟอันดับหนึ่งของโลก กว่าเขาจะมาเป็นอันดับหนึ่ง เขาต้องมุ่งมั่นทุ่มเท
ขยันฝึกซ้อม ต้องใช้เวลาฝึกซ้อมและเข้าแข่งขันในรายการต่างๆมากกว่านักกอล์ฟคนอื่นๆ
- เอดิสัน นักประดิษฐ์เอกของโลกกว่าที่เขาจะเป็นนักประดิษฐ์เอก เขาได้คิดค้นสิ่งประดิษฐ์
ต่างๆมากมาย เขาต้องใช้ความอดทน ลองผิดลองถูกมากมาย โดยเฉพาะการประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าดวงแรกของโลก เขาต้องล้มเหลวนับเป็นพันๆครั้ง แต่เขาก็พยายามอดทนมุ่งมั่นทุ่มเทต่อไป จนกระทั่งเขาประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าดวงแรกสำเร็จ
- 2 พี่น้องตระกูลไรท์ วิลเบอร์ ไรท์และออร์วิล ไรท์ กว่าที่พวกเขาจะคิดค้นเครื่องบินลำแรกได้
เขาต้องพบกับความยากลำบาก เขาต้องทดลองขับเครื่องบินที่เขาผลิตและตกลงมาทำให้เขาได้รับบาดเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทเขาจึงสามารถประดิษฐ์เครื่องบินลำแรกของโลกได้สำเร็จ
- อับราฮัม ลินคอล์น นักพูดระดับโลก นักการเมืองระดับโลก เขาเป็นอดีตประธานาธิบดีของ
สหรัฐอเมริกา เขาเข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนไม่เกิน 1 ปี แต่เขาฝึกพูดด้วยตนเอง เขาเรียนรู้ด้วยตนเอง ต่อมาเขามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าว่าจะเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐให้ได้ในที่สุดด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเท เขาสอบตกจากการเลือกตั้งหลายครั้ง เช่น เคยพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งในตำแหน่งนิติบัญญติ พ่ายแพ้การเลือกตั้งในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร พ่ายแพ้การเลือกตั้งในตำแหน่งวุฒิสภา พ่ายแพ้การเลือกตั้งในตำแหน่งรองประธานาธิบดี แต่ด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทเขาได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาและเป็นประธานาธิบดีที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาและประวัติศาสตร์ของโลก
ดังนั้น ถ้าท่านต้องการความเป็นเลิศในวงการของท่าน ท่านจงสร้างอุปนิสัยแห่งความมุ่งมั่น
ทุ่มเท แล้วท่านจะเป็นคนหนึ่งที่ยืนอยู่แถวหน้าในวงการของท่านหรือในสายอาชีพของท่าน
น้ำแต่ละหยดยังรวมกันเป็นทะเลมหาสมุทร หินแต่ละก้อนยังรวมเป็นภูเขา
ถ้าท่านอยากเป็นเลิศในวงการของท่าน จงมุ่งมั่นทุ่มเทแล้วท่านจะเป็นเลิศอย่างแน่นอน
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.