การพูดแบบผู้นำ ผู้นำพูด
การพูดแบบผู้นำ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความในวันนี้กระผมขอพูดถึงเรื่องของการพูดแบบผู้นำ ซึ่งการพูดแบบผู้นำนี้จะพูดธรรมดาเหมือนผู้ตาม หรือคนทั่วไปไม่ได้ เพราะมันจะไม่เห็นความแตกต่างระหว่างผู้นำกับผู้ตามดังนั้นคนที่ต้องการเป็นผู้นำหรือเป็นผู้นำอยู่แล้ว จึงต้องเรียนรู้หลักการวิธีการเพื่อนำไปใช้ในการพูดในแต่ละครั้ง ผมเชื่อว่าพวกเราคงเคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับประโยคคำคมของผู้นำภายในประเทศและในต่างประเทศมาบ้างแล้ว คำคมเหล่านี้ทำให้เป็นที่จดจำและนำไปคิดเพิ่มแล้วก่อให้เกิดปัญญาขึ้นเช่น
“ จงอย่าถามว่าประเทศชาติจะให้อะไรแก่ท่านบ้าง แต่จงถามว่าท่านจะให้อะไรแก่ประเทศบ้าง ”
เป็นคำพูดสุนทรพจน์ของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เคนาดี้
“ ถ้าท่านไม่สามารถลุกขึ้นพูดต่อหน้าฝูงชนได้ ก็อย่าปราถนาเป็นผู้นำ"
เป็นคำพูดของหลวงวิจิตร
หรือ “ ระบบประชาธิปไตยคือระบบที่ปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
เป็นคำพูดสุนทรพจน์ของอดีตประธานาธิบดี ลินคอล์น
ดังนั้นในวันนี้เราจะมาพูดเรื่องเทคนิคการพูดแบบผู้นำ ดังนี้
- ผู้นำจะต้องพูดด้วยความมั่นใจ พูดชัด ไม่ติดติดขัดขัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ภาษาก็ต้องพูดชัดไม่ว่าจะเป็นผู้นำที่พูดภาษาอังกฤษหรือพูดภาษาไทย ผู้นำจะต้องรู้จักการใช้ภาษานั้นได้เป็นอย่างดี และมีการใช้คำได้หลากหลายมากกว่าผู้ตาม การพูดการใช้ภาษาของผู้นำจะทำให้ผู้ตามทราบว่าผู้นำมีการศึกษาดีมากน้อยแค่ไหนดังคำโบราณได้พูดไว้ว่า “ สำเนียงบอกภาษา กริยาบอกสกุล ” การพูดด้วยความมั่นใจจะทำให้ผู้ตามเกิดความมั่นใจตามด้วย
- ผู้นำจะต้องพูดให้มีคำคมอยู่บ้าง เพราะการพูดที่ไม่มีคำคมอยู่เลยจะทำให้ผู้ฟังจำเนื้อหาไม่ได้ทั้งหมดแต่ผู้นำคนใดมีคำคมอยู่บ้าง ก็จะเป็นที่น่าสนใจและเป็นที่จดจำของผู้ฟังดังคำคมประโยคข้างต้นที่กระผมได้กล่าวถึง เนื่องจากคำคมเป็นคำสั้นๆหรือประโยคสั้นๆ แต่กินใจความและสามารถขยายความได้มากขึ้น คำคมบางคำทำให้คนฟังคิดตามแล้วเกิดปัญญาขึ้นตามมาด้วย
- ผู้นำจะต้องพูดให้มีอารมณ์ขันบ้าง เพราะการพูดจริงจังตลอดเวลาจะทำให้ผู้ฟังเครียด แต่ถ้าผู้นำคนใดนำอารมณ์ขันมาใช้ คนฟังมักจะชอบโดยเฉพาะสังคมไทย ผู้ฟังมักชอบฟังอะไรที่ตลก ขบขัน มากกว่าฟังอะไรที่เครียด ดูจริงจัง
- ผู้นำจะต้องพูดให้มีไหวพริบปฏิภาณในการพูด เนื่องจากการพูด การปราศรัย บางแห่งจะมีผู้ฟังถามลองของหรือถามลองภูมิผู้พูด ดังนั้น ผู้เป็นผู้นำจะต้องตอบให้ได้หรือให้ทันเหตุการณ์ผู้นำจะต้องมีไหวพริบปฏิภาณในการพูดตอบโต้
- ผู้นำจะต้องพูดด้วยอารมณ์ กระผมไม่ได้หมายถึงใช้อารมณ์ในการพูดนะครับ ไม่ใช่ไปด่าผู้ฟังอะไรทำนองนั้น แต่ผู้นำจะต้องใส่อารมณ์ในการพูด เช่นพูดเรื่องเศร้าก็ต้องใช้น้ำเสียงและสีหน้า ท่าท่างอย่างหนึ่ง พูดเรื่องตลก ก็ต้องทำสีหน้า น้ำเสียงอีกอย่างหนึ่ง พูดจูงใจ ก็ต้องใช้น้ำเสียงจริงจัง ท่าทางจริงจัง เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อมั่น
และยังมีอีกหลายทักษะ ที่ผู้นำจะต้องเรียนรู้และนำไปปฏิบัติ เพราะการพูดแบบผู้นำเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ศาสตร์ก็คือสามารถเรียนรู้ได้ จากหนังสือ ตำรา ทฤษฏีต่างๆ ศิลป์คือการประยุกต์ใช้เพื่อนำศาสตร์ไปปฏิบัติ ท้ายนี้อยากฝากบทกลอนของผู้แต่งที่มีคนแต่งเอาไว้กระผมเคยเห็นครั้งแรกในมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อสิบกว่าปีก่อน
“ วาทะการนั้นเป็นเช่นของสูง เป็นเครื่องจูงใจคนดั่งมนต์ขลัง
เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ทรงพลัง และเป็นทั้งศาสตราเป็นอาภรณ์
เราจะใช้วิชาล้ำค่านี้ เพื่อสร้างสรรค์ สิ่งดีเป็นนุสรณ์
เพื่อเทิดธรรมพัฒนาประชากร เพื่อบ้านเกิดเมืองนอนแผ่นดินไทย”
Nov 9 /2010
51.
พูดโอกาสต่างๆ
การพูดในโอกาสต่างๆ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
เมื่อวันที่ 26-27 ตุลาคม 2552 ที่ผ่านมากระผมได้มีโอกาสเป็นวิทยากรให้แก่ สมาชิกสภาเทศบาลตำบลดงเจน จังหวัดพะเยา ในหัวข้อ “ การพัฒนาบุคลิกภาพและการพูดต่อหน้าที่ชุมชน” ณ โรงเรียนดงเจนวิทยาคม จังหวัดพะเยา ในวันที่สองของการฝึกอบรมกระผมได้บรรยายในหัวข้อการพูดโอกาสต่างๆ เนื่องจากผู้เข้ารับการฝึกอบรมส่วนใหญ่เป็นผู้นำท้องถิ่น จึงมีโอกาสในการขึ้นพูดในโอกาสต่างๆมาก เช่น การพูดในงานมงคลสมรส การพูดในงานขึ้นบ้านใหม่ การพูดในงานคล้ายวันเกิด การพูดในงานศพ การพูดในงานต้อนรับสมาชิกใหม่และการพูดกล่าวแสดงความยินดี ฯลฯ
สิ่งสำคัญในการพูดในโอกาสต่างๆ มีดังนี้ครับ
- ผู้พูดจะต้องรู้สถานการณ์และผู้ฟัง เช่น ถ้างานนั้นดำเนินไปด้วยความล่าช้า เราจำเป็นจะต้องพูดให้น้อยลง ทั้งๆที่เรามีอะไรต่างๆจะพูดมากมายก็ตาม โดยเฉพาะเลยเวลารับประทานอาหารไปนานแล้ว เพราะขนาด ก่องข้าวน้อยยังฆ่าแม่ได้เลย นับประสาอะไรกับผู้พูดที่ไม่ใช่ญาติมิตรกัน
- ต้องรู้ลำดับรายการผู้จะขึ้นพูดในโอกาสต่างๆ ต้องรู้ว่าลำดับของรายการต่างๆเป็นไปอย่างไรจะได้เตรียมตัวถูก ต้องรู้ว่ารายการอะไรก่อน รายการอะไรหลัง
- ต้องรู้จุดมุ่งหมายของงานนั้นๆ ว่าลักษณะของงานเป็นลักษณะงานที่บันเทิงสนุกครึกครื้น
เฮฮา หรือ เป็นงานที่เศร้าโศกสลด เราจะได้พูดให้ถูกกาลเทศะ
สำหรับโอกาสในการพูดในโอกาสต่างๆ มีดังนี้
1.การกล่าวแนะนำ โดยมากเป็นการกล่าวแนะนำ ผู้ที่อภิปราย วิทยากร ผู้โต้วาที หรือผู้เข้าร่วมอบรมหรือประชุม สัมมนาในงานนั้นๆ เป็นการกล่าวแนะนำก็เพื่อให้ผู้ฟังรู้จักและสนใจ “ตัวผู้พูด” และ “เรื่องที่จะพูด”
2.การกล่าวต้อนรับ เป็นการกล่าวต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยือนหรือกล่าวต้อนรับสมาชิกใหม่
3.การกล่าวอวยพร ส่วนใหญ่เป็นการกล่าวในโอกาสที่เป็นงานมงคล เช่น งานมงคลสมรสหรืองานแต่งงาน งานวันคล้ายวันเกิด(ไม่ใช่งานวันเกิด เพราะวันเกิดมีวันเดียว) งานขึ้นปีใหม่ งานฉลองการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งต่างๆ ฯลฯ
4.การกล่าวไว้อาลัย โดยมากเรามักคิดถึงแต่งานศพ แต่จริงๆแล้วการกล่าวไว้อาลัยมีหลายอย่าง เช่น ไว้อาลัยผู้ตาย ไว้อาลัยผู้ที่ย้ายไปรับตำแหน่งใหม่ หรือที่ทำงานใหม่และไว้อาลัยในงานโอกาสไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ เป็นต้น
สำหรับท้ายนี้กระผมมีตัวอย่างการกล่าวอวยพรในงานมงคลสมรส โดยผู้กล่าวเป็นแม่ของเจ้าบ่าวดังนี้
สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ชีวิตของความเป็นผู้หญิงทุกคนคงไม่แตกต่างจากดิฉัน คืออยากให้คนที่เรารักหรือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเราได้มีความสุขและดิฉันก็ได้ปฏิบัติต่อครอบครัวของดิฉันเสมอมา ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปดิฉันก็เชื่อว่าสุภาพสตรีที่นิสัยดีและน่ารักคนนี้ คือสะใภ้ของดิฉันจะทำหน้าที่ภรรยาที่ดีและรักลูกชายของดิฉันได้นานแสนนานตลอดไป ขอบคุณค่ะ
หรือ พ่อของเจ้าบ่าวกล่าวดังนี้
สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน กระผมขอเปรียบชีวิตของคนเราเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีความจริงใจเป็นรากแก้ว
มีความอดทนคือลำต้น มีความร่มเย็นคือร่มใบพร้อมทั้งความดีงามคือดอกผล จึงได้ชื่อว่า ต้นไม้แห่งความรัก
ความผูกพันและกระผมเชื่อว่าเจ้าบ่าวและเจ้าสาวทั้งสองจะหมั่นดูแลรับผิดชอบซึ่งกันและกัน เหมือนต้นไม้ดังกล่าวมา ส่วนครอบครัวของทั้งสองฝ่ายนั้นจะเป็นเม็ดฝนชโลมความชุ่มชื่นแด่เจ้าบ่าวเจ้าสาวตลอดไป
ท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานแต่งงานในวันนี้(โดย อ.ภูวดล ภูภัทรโยธิน )
...
|
|
|
|
 |
จริตวิทยา เส้นทางสู่ความเป็นเลิศของนักบริหาร(ศิลปะการถ่ายทอด) แต่งโดย...ยุทธ์(นพพร) พยัฆวิเชียร
ราคาเล่มละ 150 บาท ภายในเล่มเขียนเกี่ยวกับการใช้น้ำเสียง ภาษา ท่าทาง วาทศิลป์สำหรับผู้นำและผู้บริหาร บทบาทแนวการพูดต่างๆสำหรับนักบริหาร ฯลฯ
เหมาะสำหรับผู้บริหาร และทุกท่านที่ต้องการพัฒนาตนเองในเรื่องบุคลิกภาพและการพูด
...
|
|
|
|
|
|
การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
การทำงานในหน่วยงานหรือองค์กร มักจะเกิดปัญหาในการทำงานขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคน เรื่องของระบบการบริหาร เรื่องของงบประมาณหรือเรื่องของการจัดสรรทรัพยากรที่มีจำกัด ฯลฯ การแก้ไขปัญหาจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในการทำงาน
หากว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ประสบปัญหาในการทำงาน ท่านลองทำตามคำแนะนำเบื้องต้นนี้ สำหรับการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ มีดังนี้
1.วิเคราะห์ปัญหา แยกแยะและทำความเข้าใจปัญหา หากว่าท่านมีปัญหาในเรื่องเกี่ยวกับการทำงาน ท่านลองวิเคราะห์ปัญหาว่าปัญหาที่ท่านเจอมีทางออกอย่างไร ท่านมีวิธีใดในการแก้ไขปัญหา ปัญหานั้นใหญ่แค่ไหน ปัญหาที่เจอมันจะส่งผลกระทบต่อหน่วยงานหรือตัวท่านเองมากน้อยแค่ไหน ขอให้ท่านลองคิดไตร่ตรองพิจารณา แล้วควรเขียนใส่ในกระดาษหรืออาจจะวิเคราะห์โดยใช้แผนที่ความคิด(Mind Map) เป็นต้น
2.รวบรวมข้อมูลมาให้มากที่สุด ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจแก้ปัญหาหรือตัดสินใจใดๆ ลงไป ท่านควรแสวงหาข้อมูลมาให้มากที่สุด เพราะการมีข้อมูลจะทำให้เราเกิดการตัดสินใจได้อย่างรอบด้านและตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น
3.การหาทางเลือกในการแก้ไขปัญหาไว้หลายๆทาง จะทำให้ท่านตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่านอาจจะขอคำแนะนำ ขอคำปรึกษา จากผู้มีประสบการณ์หรือผู้เชี่ยวชาญ แล้วจงวิเคราะห์ว่าทางเลือกใดเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดหรือตรงกับความต้องการมากที่สุด ด้วยตนเองโดยเรียงลำดับจากวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดไปจนถึงน้อยที่สุด
4.ตัดสินใจเลือกวิธีที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์นั้นๆ เพราะวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับการแก้ไขปัญหาหนึ่งอาจไม่ดีสำหรับการแก้ไขปัญหาอีกปัญหาหนึ่ง ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก สภาพของปัญหาที่ต่างแตกกัน เช่น เรื่องของพื้นที่ , เรื่องของงบประมาณ , เรื่องของเงื่อนไขบางอย่าง ฯลฯ ดังนั้นคุณอาจจะตัดสินใจเลือกวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดลำดับที่ หนึ่ง ตามรายละเอียดในข้อที่ 3 แต่ถ้าวิธีการที่หนึ่งมีปัญหาไม่สามารถนำไปใช้ได้หรือใช้แก้ไขปัญหาไม่ได้ คุณอาจมีวิธีที่สองสำรองไว้ใช้
5.นำวิธีการที่เลือกไปใช้โดยมีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน มีการกำหนดรายละเอียด ออกแบบเครื่องมือที่ใช้ในการทำงาน แล้วจึงลงมือทำทันที
6.มีการประเมินผล ติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด มีการปรับปรุงแผนที่วางไว้ให้เข้ากับเหตุการณ์ หากเกิดความขัดข้อง กล่าวคือ วิธีการที่หนึ่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ให้นำเอาแผนสำรองคือวิธีการที่สองมาประยุกต์ใช้ต่อไป แต่หากวิธีการที่หนึ่งแก้ไขปัญหาได้ประสบความสำเร็จ ก็ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย
จากข้อความข้างต้น ท่านจะเห็นได้ว่าหลักการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ จะทำให้ท่านมีการตัดสินใจได้อย่างดีขึ้น มีการมองปัญหาอย่างเป็นระบบขึ้น และมีหลักการในการแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าเดิม ซึ่งแต่เดิมบางท่านอาจจะแก้ไขปัญหาแบบไม่มีหลักการ ไม่มีการวิเคราะห์ปัญหา แยกแยะและทำความเข้าใจปัญหา ไม่มีการรวบรวมข้อมูลมาให้มากที่สุด ไม่มีการหาทางเลือกในการแก้ไขปัญหาไว้หลายๆทาง ไม่มีการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่มีวิธีการที่ดีที่สุด ไม่มีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนในการนำวิธีการไปใช้ และไม่มีการประเมินผล ติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด
...
|
|
|
|
เพียงคิดเป็นภาพความสำเร็จก็มีขึ้น เพียงคิดเป็นภาพความสำเร็จก็มีขึ้น
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
นักประดิษฐ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสองพี่น้องตระกูลไรท์ที่คิดค้นเครื่องบินขึ้นมาได้ โทมัส เอดิสันที่คิดค้นหลอดไฟฟ้าขึ้นมาได้ สตีฟ จอบส์ ที่คิดค้นแอปเปิลคอมพิวเตอร์และสินค้าอื่นๆของบริษัท ก่อนที่เขาเหล่านี้จะประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ขึ้นมาได้ พวกเขาจะต้องมีภาพของสิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ขึ้นมาภายในใจก่อน
การคิดเป็นภาพจึงมีความสำคัญต่อความสำเร็จ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ถึงกับกล่าวว่า “ จินตนาการมีความสำคัญกว่าความรู้ ” หรือ นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส เรเน่ เดสการตส์ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังได้กล่าวว่า “ ฉันคิด ดังนั้นฉันจึงเป็น ” ซึ่งก็ถือว่ามีความเป็นจริงอย่างยิ่ง เพราะเคยมีการวิจัยว่า คนธรรมดามักจะคิดเป็นคำ แต่อัจฉริยะมักคิดเป็นภาพ จึงไม่เป็นที่แปลกใจว่าในยุคปัจจุบันเรามักจะเห็น ผู้ที่สร้างเครื่องมือต่างๆ โดยสร้างให้เป็นแผนภาพ แผนภูมิ แผนภาพใยแมงมุม Mind Map เป็นต้น
- Mind Map เป็นตัวอย่างได้อย่างดีในการอธิบายในเรื่องนี้ Mind Map คิดค้นโดย โทนี่ บูซาน เป็นเครื่องมือในการจัดหมวดหมู่ เชื่อมโยงคำต่างๆ ให้เป็นภาพ เพื่อให้ง่ายต่อความจำ ซึ่งประโยชน์ของ Mind Map มีมากมาย เช่น ทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจเรียน สนุกสนานไม่เบื่อ ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ง่ายขึ้น ฯลฯ
การคิดเป็นภาพจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จ ในการฝึกอบรม ในการ
สัมมนา เกี่ยวกับเรื่องของความสำเร็จ ผมมักแนะนำผู้รับการอบรม หรือ ผู้ที่สัมมนา ให้ฝึกคิดเป็นภาพหรือฝึกจินตนาการทุกๆวัน เกี่ยวกับเรื่องของเป้าหมายหรือความฝันของตนเอง เวลาที่เหมาะสมคือ ช่วงที่คุณกำลังเพลินกับการอาบน้ำ ช่วงนั่งรถไปทำงานและก่อนนอนหลับตอนกลางคืน อีกทั้งยังแนะนำเพิ่มเติมให้ติดภาพของเป้าหมายหรือความฝันที่ต้องการติดตามห้องนอน ห้องทำงาน เพื่อที่จะได้จดจำได้ง่ายขึ้น เช่น นำภาพบ้านที่ต้องการ , รถยนต์ที่ต้องการ , จำนวนเงินที่ต้องการ และสิ่งต่างๆที่ต้องการติดตามสถานที่ต่างๆ ที่ทำให้เราเห็นอยู่เสมอ
เคยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ได้นำเอานักเทนนิสโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งซ้อมจริง กลุ่มที่สองไม่ต้องซ้อมเลย และกลุ่มที่สามซ้อมจากจินตนาการไม่มีการซ้อมจริง ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ซ้อมจริงฝีมือออกมาปกติคงที่ กลุ่มที่สอง ไม่มีการซ้อมเลย ฝีมือแย่ลง และกลุ่มที่สาม ที่ซ้อมจากจินตนาการไม่มีการซ้อมจริงผลปรากฏว่า มีฝีมือออกมาปกติคงที่ เช่นเดียวกับกลุ่มที่หนึ่ง ดังนั้นการฝึกซ้อมโดยคิดเป็นภาพหรือการซ้อมจากจินตนาการมีความสำคัญเพราะสมองมักแยกไม่ออกระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องในจินตนาการ
หากว่าคุณต้องการประสบความสำเร็จในด้านใด ไม่ว่าต้องการเป็นนักพูด นักร้อง นักดนตรี นักแสดง นักขาย ฯลฯ ลองฝึกคิดให้เป็นภาพหรือจินตนาการดู เช่น หากว่าคุณปรารถนาอยากเป็นนักพูด จงฝึกคิดเป็นภาพหรือจินตนาการว่า คุณกำลังขึ้นไปพูดบนเวทีพูดต่อหน้าที่ชุมชนกับผู้คนจำนวนมากมายหลายพันคน ถามว่าทำไมต้องจินตนาการว่ามีหลายพันคน เพราะถ้าหากคุณคิดเป็นภาพหรือจินตนาการว่ามีคนมาฟังแค่สิบยี่สิบคน แล้วถ้าหากคุณไปพูดจริงๆ มีคนฟังเป็นร้อยคนคุณจะรู้สึกตื่นเต้นเนื่องจากมีคนมาก ไหนๆจะคิดเป็นภาพหรือจินตนาการทั้งทีควรฝึกคิดเป็นภาพหรือจินตนาการให้ใหญ่ไปเลย จินตนาการว่ามีคนมาฟัง หลายพันคน ถ้าเกิดในอนาคตมีคนมาฟังแค่ร้อยสองร้อยคนคุณจะรู้สึกมีความประหม่าน้อยลง เป็นต้น
ดังนั้น ถ้าหากว่าท่านปรารถนาความสำเร็จ การฝึกคิดเป็นภาพหรือฝึกการจินตนาการจึงเป็นสิ่งที่ท่านควรฝึกฝนทุกๆวัน ฝึกให้เป็นนิสัยโดยการจัดเวลาในการฝึกคิดเป็นภาพหรือจินตนาการ ผู้ประสบความสำเร็จจำนวนมากใช้เทคนิคนี้แล้วได้ผล ไม่ว่าจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จในประวัติศาสตร์หรือในยุคปัจจุบัน
...
|
|
|
|
หัวใจนักเขียน หัวใจนักเขียน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
1.รักในงานเขียน บุคคลที่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะประกอบอาชีพใด อยู่ในวงการใด บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักจะเริ่มต้นทำอาชีพนั้นเพราะความรัก หากท่านต้องการเป็นนักเขียน ท่านก็ต้องทำใจให้รักงานเขียนให้จงได้ เพราะถ้าไม่รักแล้ว ท่านก็จะทำงานเขียนไปด้วยความทุกข์ ทรมาน ไม่มีความสนุกในการเขียน จึงส่งผลกระทบต่อผลงานเขียนที่ออกมาได้
2.รักการอ่าน หากท่านต้องการเป็นนักเขียน ท่านควรรักการอ่านด้วย เนื่องจากการอ่านจะทำให้ท่านมีวัตถุดิบหรือข้อมูลมากยิ่งขึ้นในการเขียน เมื่อท่านอ่านมากท่านจะมีความสามารถในการใช้คำ เล่นคำ ใช้โวหารต่างๆ ได้มากขึ้น
3.มีสมาธิ การเขียนหนังสือ เราจะเป็นจะต้องมีสมาธิในการนั่งเขียน เพราะหากทำงานอื่นไปด้วย หรือ เขียนไปเขียนมาก็ไม่อยากเขียนเนื่องมาจากขาดความอดทน ขาดสมาธิ ก็จะไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากงานเขียนเป็นงานที่ต้องใช้เวลาในการเขียนและอ่าน หากขาดซึ่งสมาธิในการเขียนและอ่าน ผลงานเขียนก็คงออกมาได้อย่างช้ามาก
4.มีการฝึกฝนและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ งานเขียนเป็นงานที่ใช้ทักษะ เหมือนกับงานทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพูด ช่างฝีมือ ครู อาจารย์ ฯลฯ งานเขียนจึงมีความจำเป็นจะต้องมีการฝึกฝนอยู่เสมอ หากเป็นไปได้ ท่านควรฝึกเขียนทุกๆ วัน แล้วท่านจะเป็นอีกผู้หนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการเป็นนักเขียน
5.มีความสามารถในการจินตนาการและใช้ความคิด งานเขียนเป็นงานที่ต้องใช้จินตนาการบวกด้วยความคิด งานที่เขียนจึงออกมามีความแตกต่างกัน หากขาดซึ่งจินตนาการและความคิด การเขียนของท่านก็จะเหมือนกับงานเขียนของคนทั่วไป
6.มีจรรยาบรรณ มีความรับผิดชอบต่องานเขียนของตนเอง และงานเขียนของผู้อื่น หากต้องนำงานเขียนของผู้อื่นมาใช้ เราก็ควรมีการอ้างอิงถึงแหล่งที่มา ว่าเรานำมาจากไหน ไม่เขียนให้ร้ายผู้อื่นโดยไม่มีหลักฐานหรือเพียงแค่ต้องการกลั่นแกล้งผู้อื่น ควรเขียนเพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์มากกว่าเขียนเพื่อที่จะมุ่งทำลาย
7.มีความมั่นใจในตนเอง หากว่าท่านมีความคิดดีๆ มีจินตนาการดีๆ แต่ท่านขาดซึ่งความมั่นใจในตนเอง ไม่กล้าเขียน งานเขียนก็ไม่เกิด ดังนั้น นักเขียนต้องมีความมั่นใจในตนเอง เขียนด้วยความเชื่อมั่น เขียนด้วยความกล้า
8.มีประสบการณ์ ประสบการณ์มีความสำคัญมากต่อการเป็นนักเขียน ประสบการณ์ในที่นี้คือประสบการณ์ชีวิต
เพราะนักเขียนที่มีประสบการณ์ชีวิตมากมักเคยผ่านสิ่งเหล่านั้นมา เมื่อมาทำงานเขียนแล้วจึงสามารถถ่ายทอดแบบให้เห็นเป็นภาพจริง ตรงกันข้ามนักเขียนที่ไม่มีประสบการณ์ บางครั้งก็ไม่สามารถถ่ายทอดเรื่องนั้นๆได้ เช่น นักเขียนที่อยู่ในคุกตะราง เวลาเขียนเรื่อง คุกตะราง ก็มักจะสื่อออกมาได้แบบสมจริงกว่านักเขียนที่ไม่เคยอยู่ในคุกหรือไม่เคยไปเห็นบรรยากาศ
9.มีใจกว้าง ยอมรับคำวิจารณ์ เมื่องานเขียนออกมาแล้ว อาจมีหลายท่านที่ได้วิจารณ์งานเขียนของเรา จงพร้อมที่จะยอมรับฟังคำ วิพากษ์วิจารณ์นั้น เพื่อนำมาตรวจสอบ แล้วดำเนินการแก้ไข ปรับปรุง พัฒนางานเขียนของเราต่อไปในโอกาสข้างหน้า
10.มีความสามารถในการถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ผ่านตัวอักษร การเขียนก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับการพูด กล่าวคือ เป็นการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย เช่น การพูดเป็นการสื่อสารโดยการใช้เสียง ท่าทาง ไปยังผู้ฟัง แต่การเขียนเป็นการสื่อสารโดยผ่านตัวอักษรไปยังผู้อ่าน เป็นต้น
...
|
|
|
|
 |
สำนวนไทย ฉบับสมบูรณ์ เป็นหนังสือที่รวบรวม สำนวน คำพังเพย อุปมา อุปไมย ภาษิต โดยเรียงลำดับอักษร ก-ฮ เหมาะสำหรับนักพูดหรือนักเขียน นักศึกษา นักเรียน และผู้สนใจ
ราคา 20 บาท เรียบเรียงโดย วิเชียร เกษประทุม
...
|
|
|
|
|
ถ้าอยากเป็นเศรษฐีมิควรเป็นลูกจ้าง ถ้าอยากเป็นเศรษฐีมิควรเป็นลูกจ้าง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
จากคำกล่าวที่ว่า “ ถ้าอยากเป็นเศรษฐีมิควรเป็นลูกจ้าง” เป็นคำกล่าวของชาวจีนในอดีตที่ได้สอนลูกหลาน มิได้มีเจตนาที่จะดูถูกคนที่เป็นลูกจ้างแต่อย่างใด แต่เป็นคำพูดที่มีความเป็นจริงมากทีเดียว เนื่องจากการเป็นลูกจ้างเราจะได้รับเงินเดือนประจำที่มีวงเงินที่จำกัดในแต่ละเดือน เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว ก็เป็นเงินออม ซึ่งเงินออมดังกล่าวถ้าหากว่าเราต้องการให้เพิ่มเป็นเงินออมก้อนใหญ่ก็คงต้องใช้เวลานานหลายปี
แต่ตรงกันข้ามกับคนที่ทำธุรกิจการค้าหรือเป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งสามารถสร้างเงินหรือความมั่งคั่งร่ำรวยได้อย่างรวดเร็วกว่า อีกทั้งยังไม่มีวงเงินที่จำกัดในแต่ละเดือน เป็นนายของตัวเอง มีความเป็นอิสระ เสรี
สำหรับการเริ่มต้นทำธุรกิจมักมีคำถามมากมายที่มีคนตั้งคำถาม เช่น
1.หากว่าเราจะเริ่มต้นทำธุรกิจเราควรจะเริ่มต้นอย่างไร ? ตามความคิดเห็นของกระผม “ ธุรกิจใหญ่เกิดจากธุรกิจเล็ก ” ดังนั้น เราควรเริ่มต้นทำธุรกิจเล็กๆไปก่อนแล้วจึงค่อยขยายตัวให้ใหญ่ยิ่งขึ้น เราไม่ควรลงทุนทำธุรกิจครั้งแรกด้วยเงินลงทุนที่มากจนเกินตัวหรือลงทุนทำธุรกิจให้ใหญ่จนเกินตัว เพราะแทนที่จะประสบความสำเร็จอาจทำให้ล้มเหลวได้ เพราะกระผมเชื่อเรื่องของวิวัฒนาการ กล่าวคือ ธรรมชาติมักก่อกำเนิดสิ่งต่างๆโดยเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆแล้วค่อยเจริญเติบโตขึ้นเป็นลำดับ เช่น การปลูกต้นไม้ , การเลี้ยงสัตว์ หรือแม้กระทั่งการเจริญเติบโตของมนุษย์ ก็จะต้องมีวัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่และวัยชรา จงเริ่มต้นจากการทำธุรกิจเล็กๆแล้วขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น ธุรกิจของท่านก็จะมีการเจริญเติบโตที่ยั่งยืน
2.เราควรเริ่มต้นทำธุรกิจอะไรดี ? ตามความคิดของกระผม เราควรเริ่มต้นทำธุรกิจที่เรามีความรัก ความชอบ ในธุรกิจนั้น ตัวอย่าง หลายๆคนชอบทำอาหาร ท่านก็สามารถพัฒนาฝีมือการทำอาหาร ศึกษาระบบต่างๆเกี่ยวกับการบริหารงานร้านอาหาร จนสามารถเปิดร้านอาหารได้ , หลายๆคนชอบอ่านหนังสือ ท่านก็สามารถเปิดร้านขายหนังสือหรือร้านเช่าหนังสือหรือเขียนหนังสือขายได้ , หลายๆคนชอบรถยนต์หรือรถแข่ง ท่านสามารถเปิดอู่ซ่อมรถได้ , หลายๆคนชอบจัดสวนตกแต่งสวน ท่านสามารถเปิดบริการจัดตกแต่งสวนได้ ฯลฯ
3.เราจะมีวิธีการใดที่ช่วยลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจได้ ? สำหรับวิธีลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจที่ดี กระผมขอเสนอว่า หากว่าท่านมีทุนน้อย ท่านควรไปเป็นลูกจ้างของกิจการที่ท่านสนใจจะทำก่อน เช่น หากว่าท่านต้องการเปิดร้านอาหารแต่ท่านไม่มีเงินลงทุน ท่านควรไปสมัครเป็นลูกจ้างของร้านอาหารในประเภทที่ท่านต้องการเปิดก่อน ทั้งนี้ท่านสามารถเรียนรู้ระบบงาน อีกทั้งยังได้เงินเดือน เพื่อนำไปสะสมเป็นเงินลงทุนในการเปิดร้านอาหารอีกด้วย หรือ หากว่าท่านต้องการเปิดร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ แต่ท่านมีเงินทุนจำกัด ท่านควรไปสมัครเป็นลูกจ้างร้านซ่อมจักรยานยนต์เพื่อเรียนรู้งาน เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ในการซ่อมรถจักรยานยนต์ เมื่อท่านมีประสบการณ์และเงินทุนพอ ท่านก็สามารถเปิดร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ได้ในอนาคต ฯลฯ
4.การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันมีเครื่องมือใดช่วยเหลือบ้าง? มีครับ มีมากเสียด้วย ในความคิดเห็นของกระผมการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน ทำได้ง่ายกว่าในอดีต อีกทั้งยังใช้เงินลงทุนที่น้อยลง แหล่งเงินทุนหรือแหล่งเงินกู้ต่างๆก็มีมาก เทคโนโลยีต่างๆ ก็ทันสมัยขึ้น เช่น ในอดีตโอกาสที่เราจะทำธุรกิจประเภท วิทยุหรือโทรทัศน์ นั้นมีน้อยมาก แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย เราสามารถเปิดสถานีวิทยุชุมชนหรือวิทยุดาวเทียม ด้วยต้นทุนที่น้อยกว่าในอดีต
ดังนั้น หากว่าท่านต้องการเป็นเศรษฐี ท่านควรเริ่มต้นทำธุรกิจ จากธุรกิจเล็กแล้วจึงขยายไปใหญ่ , ควรเริ่มต้นทำธุรกิจที่ท่านชอบหรือรัก , หากไม่มีทุนท่านควรไปเป็นลูกจ้างเขาก่อนเพื่อหาประสบการณ์และสะสมเงินทุน และท่านควรหาเครื่องมือช่วยเพื่อทำให้ธุรกิจของท่านสามารถดำเนินไปด้วยความสะดวกขึ้น
สำหรับ ท่านที่เป็นลูกจ้าง กระผมยังไม่แนะนำให้ลาออกจากงาน ท่านควรทำธุรกิจเพื่อเป็นงานอดิเรกหรือเพื่อเสริมรายได้หลักก่อน ถ้าหากว่าท่านทำแล้วมีรายได้มากพอ ท่านก็สามารถลาออกจากการเป็นลูกจ้างเพื่อมาทำธุรกิจของตนเองได้อย่างเต็มตัว
...
|
|
|
|