หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
กฎหมายกับหนี้สิน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
การไม่เป็นหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ , มีคนกล่าวว่าคนเราถ้าเสียเรื่องเงินจะทำให้เรื่องอื่นเสียไปด้วย
ในวันนี้เราจะมาพูดเรื่องของหนี้สิน ซึ่งเรื่องของการเป็นหนี้ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมไทย จนมีคำกล่าวว่า ถ้าไม่มีหนี้ก็ไม่มีหน้า เพราะบางคนหน้าใหญ่ชอบเลี้ยงเพื่อนฝูง จนต้องก่อหนี้หรือนำเงินในอนาคตมาใช้ ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายมากในเรื่องของการบริหารเงิน คนไทยก่อหนี้กันมากในปัจจุบันทำให้วินัยในการใช้เงินของคนไทย เรามีปัญหามาก ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องหนี้และวิธีแก้ไขปัญหา
เคยมีคนตั้งคำถามกับผมว่า มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ต่างคนต่างทำธุรกิจและมีหนี้สิน เมื่อจดทะเบียนสมรสกันแล้ว หนี้สินนั้นจะเป็นหนี้สินส่วนตัวหรือเป็นหนี้สินร่วมกัน ผมขอตอบว่า หากสามีภรรยาคู่นี้ มีหนี้สินอยู่แล้ว แล้วจึงแต่งงานกันและจดทะเบียนสมรส หนี้สินนั้นเป็นหนี้สินส่วนตัวครับ
แต่หากเป็นหนี้ในระหว่างสมรส โดยหลักแล้ว คู่สมรสฝ่ายใดเป็นผู้ก่อหนี้ขึ้น หนี้ที่เกิดขึ้นก็เป็นหนี้ส่วนตัวของฝ่ายนั้น แต่ละฝ่ายต้องรับผิดชอบกันเองเป็นการส่วนตัว เว้นแต่จะเป็นหนี้ร่วมกันหรือที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นหนี้ร่วมกันแล้วจึงจะรับผิดชอบร่วมกัน
เช่นจดทะเบียนสมรสกันแล้ว ทำธุรกิจร่วมกันโดยกู้หนี้มา ถือว่า ต้องเป็นหนี้สินรวมต้องใช้หนี้ร่วมกันโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ก่อหนี้เพื่อซื้อบ้าน ซ่อมแซมบ้าน ซื้อรถ นำเงินจากการกู้หนี้มาใช้รักษาพยาบาลอีกฝ่ายหนึ่ง การอุปการะเลี้ยงดูครอบครัว การนำเงินไปลงทุนร่วมกัน หรือ
การที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไปกู้เงินแล้วอีกฝ่ายหนึ่งทำสัญญายินยอม ก็ถือว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดให้สัตยาบัน การให้สัตยาบันจึงถือว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรับรู้ การก่อหนี้อีกฝ่ายหนึ่งแล้ว อาจจะรับรู้โดยการเซ็นยินยอมคู่สมรส หรือเซ็นพยานหรือรับรู้โดยปากเปล่าก็ถือว่าทราบแล้ว จึงต้องรับหนี้ร่วมกัน
ดังนั้นถ้าคิดจะกู้หนี้หรือนำเงินในอนาคตมาใช้ต้องคิดใคร่ครวญให้ดีครับ จากประสบการณ์ของผมเคยทำงานธนาคารฯ แห่งหนึ่งโดยอยู่ฝ่ายสินเชื่อ อีกทั้งปัจจุบันกระผมเป็นทนายความจึงได้มีโอกาสเห็นการฟ้องร้องคดีต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องของหนี้สินต่างๆ ในโอกาสนี้อย่างแนะนำเรื่องของการบริหารหนี้กันซักเล็กน้อยครับ หากคุณเป็นหนี้อยู่แล้ว คุณไม่ควรเป็นหนี้เพิ่มหรือหยุดก่อหนี้เพิ่มครับ เช่น
การยกเลิกการใช้บริการบัตรเครดิต ความจริงโดยส่วนตัวกระผมคิดว่าทุกสิ่งในโลกมีทั้งข้อดีและข้อเสีย การใช้บัตรเครดิตก็ถือว่ามีข้อดีทำให้เกิดความสะดวกสบาย แต่ถ้าหากเราไม่มีวินัยในการใช้เงิน อยากได้สิ่งต่างๆ ตลอดเวลา เราก็ควรยกเลิกดีกว่าครับ เพราะถ้าฝืนมีอาจจะทำให้เป็นหนี้สินมากขึ้นก็ได้
ที่สำคัญควรทำบัญชีครัวเรือน(บัญชีรายรับ-รายจ่ายของตนเองและครอบครัว) อีกทั้งควรแยกบัญชีหนี้สินต่างๆ ควรใช้หนี้เจ้าหนี้ที่เสียดอกเบี้ยแพงๆ ก่อน หากเป็นไปได้ควรเจรจาต่อรองเจ้าหนี้หากเราจ่ายเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย สามารถลดเงินต้นพร้อมทั้งดอกเบี้ยให้ได้ไหม ควรประหยัดค่าใช้จ่ายในครอบครัวลง ผมหวังว่าขอแนะนำต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้ท่านลดการเป็นหนี้ลงได้บ้าง
ความจริงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเรานี้มีมากมาย ส่วนใหญ่สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาก็คือคนเรานี้เองแหละครับ กฎหมายจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งในแก้ปัญหาและลดปัญหา แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ เราจะเห็นปัญหาเรื่องหนี้สินเกิดขึ้นตามหน้าหนึ่งในสื่อหนังสือพิมพ์ต่างๆ เช่น การทวงหนี้โหด การฆ่าเจ้าหนี้ การลักขโมยของหรือการเล่นการพนันเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ ฯลฯ ดังนั้นปัญหาจะลดน้อยลงถ้าหากพวกเรามาช่วยกันแก้ไขปัญหา ลดความอยากเพื่อลดการก่อหนี้สินของตนเองและครอบครัว ก็เป็นวิธีหนึ่งในการช่วยลดปัญหาเรื่องหนี้สินไปได้ไม่มากก็น้อย




...
  
พูดเก่ง เขียนเก่ง… ประสบความสำเร็จก่อน....

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
ถ้าพวกเราสังเกตคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต คนๆนั้นมักเป็นคนที่พูดเก่งและเป็นคนที่เขียนเก่ง ใครที่พูดเก่งและเขียนเก่ง คนๆนั้นจะได้เปรียบหรือจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานหรือชีวิต ก่อนคนที่พูดไม่เก่งและเขียนไม่เก่ง ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจเลยที่เราเห็นคนมีชื่อเสียงในวงการต่างๆ จะเป็นคนพูดเก่งหรือเขียนเก่ง บางคนก็มีความสามารถทั้งพูดเก่งและเขียนเก่งในคนเดียวกัน ก็ยิ่งทำให้ได้รับการยอมรับมากขึ้น เร็วขึ้น เช่น


วงการการเมือง ใครที่พูดเก่งมักได้ตำแหน่งทางการเมือง เช่น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง , คุณชวน หลีกภัย(อดีตนายกรัฐมนตรี) , คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ(นายกรัฐมนตรี) ฯลฯ และยิ่งใครสามารถพูดเก่ง เขียนเก่งด้วยย่อมทำให้เป็นที่รู้จักของคนมากยิ่งขึ้น เช่น คุณสมัคร สุนทรเวช(อดีตนายกรัฐมนตรี) , ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช (อดีตนายกรัฐมนตรี) เป็นทั้งนักพูดและนักเขียน


วงการธุรกิจ ปัจจุบันเราจะเห็นได้ตามสื่อสารมวลชนต่างๆ มีนักธุรกิจใหญ่หลายๆคนได้ออกมาบรรยายให้ความรู้แก่สังคม หรือมีการเขียนหนังสือออกมาให้แง่คิดต่างๆ ในเรื่องของการบริหาร การจัดการ รวมทั้งการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน


วงการศาสนา เราจะเห็นว่า พระสงฆ์รูปใดที่พูดเก่ง คนมักจะชื่นชอบ มักจะมีคนติดตามและในยุคปัจจุบันเป็นยุคข้อมูลข่าวสารเราสามารถนำคำพูด นำ คำบรรยายและการเทศนา มาถอดเทปที่พูดมาเป็นตัวหนังสือ จึงทำให้เกิดผลงานการเขียนตามมา เช่น พระมหาสมปอง และ ท่านว.วชิระ เมธี ฯลฯ


วงการศึกษา คงต้องยอมรับว่า วงการศึกษา คนที่เป็นนักวิชาการ จะต้องเขียนเก่งและพูดเก่ง จึงจะประสบความสำเร็จในวงการ เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัยต้องพูดสอนบรรยาย นิสิต นักศึกษา ใครที่บรรยายสนุก คนเข้าใจ นิสิตนักศึกษา ก็จะพากันตั้งใจเรียน หรือ การจะทำตำแหน่งทางวิชาการ ผศ. , รศ. และ ศ. จำเป็นจะต้องเขียนเก่ง เช่น การทำ ผศ. จะต้องเขียนเอกสารประกอบการสอน การเขียนบทความทางวิชาการ และ การเขียนวิจัย เพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการ ดังนั้น คนที่พูดเก่ง และ เขียนเก่ง มักมีโอกาสก้าวหน้าในวงการศึกษา


วงการสื่อมวลชน ไม่ว่าพิธีกร ผู้ดำเนินรายการ นักข่าว ใครที่พูดเก่งและเขียนเก่ง มักจะมีแฟนรายการติดตาม หรือใครที่เขียนเก่งๆ คนอ่านก็มักจะติดตามอ่าน เช่น คุณสรยุทธ์ คุณฟองสนาม คุณกฤษณะ ฯลฯ นักหนังสือพิมพ์ เช่น เปลว สีเงิน


แม้แต่เวลาทำงานก็เช่นกัน ใครที่นำเสนอเก่ง ใครที่เขียนรายงานเก่ง มักจะได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งก่อนคนที่นำเสนอไม่เก่งหรือเขียนรายงานไม่เก่ง ซึ่งเราจะเห็นตัวอย่างได้ที่ทำงานของเรา ถ้าใครพูดเก่ง ใครที่เขียนรายงานเก่ง ก็มักจะถูกนายใช้อยู่บ่อยๆ เมื่อได้รับการไว้วางใจ ก็จะได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น ตำแหน่งหน้าที่การงานก็สูงขึ้นด้วย


ส่วนนักเรียน นิสิต และนักศึกษา ใครที่พูดเก่ง ก็มักจะถูกครู อาจารย์ หรือแม้แต่เพื่อนๆ ให้ออกไปนำเสนองานหน้าชั้นเรียน นักเรียน นิสิตและนักศึกษา คนนั้นมักจะได้คะแนนดีหรือสูงกว่า นักเรียน นิสิตและนักศึกษา ที่นำเสนอไม่ได้ การเขียนเก่งก็เช่นกัน ถ้า นักเรียน นิสิตและนักศึกษา คนไหนเขียนเก่งมักได้คะแนนสูงกว่า ดีกว่า ผู้เรียนที่ไม่มีทักษะในด้านนี้ ไม่ว่าการทำข้อสอบ การทำการบ้าน การทำรายงานส่ง


ดังนั้นใครที่อยากประสบความสำเร็จ อยากดัง อยากรวย และอยากมีชื่อเสียง ขอให้เริ่มฝึกฝน การพูดและการเขียนตั้งแต่บัดนี้ อย่าคิดว่าเราอายุมากแล้ว คงฝึกไม่ได้ เพราะบางคนมาฝึกพูดหรือฝึกเขียนในช่วงอายุมากๆ ก็สามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ ขอให้มีความตั้งใจ มุ่งมั่น และทำจริง


การพูดและการเขียนมีความสำคัญกับการทำงาน การใช้ชีวิต ถ้าใครที่สามารถพัฒนาตนเองได้จนถึงระดับเป็นที่ยอมรับว่าเป็นคนพูดเก่งและเขียนเก่ง คนๆนั้น จะได้รับสิ่งต่างๆตามมาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ตำแหน่งหน้าที่ ความมีชื่อเสียง การเป็นที่ยอมรับของสังคม ฯลฯ




...
  
พลังแห่งการไม่ยอมแพ้
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

ถ้าท่านคิดว่าทำได้ ท่านก็จะทำได้ แต่ถ้าท่านคิดว่าทำไม่ได้ ท่านก็จะทำไม่ได้

ถ้าท่านคิดว่าท่านพ่ายแพ้ ท่านจะพ่ายแพ้ ถ้าท่านคิดว่าท่านไม่กล้า ท่านจะไม่กล้า
ถ้าท่านต้องการที่จะชนะ แต่ท่านคิดว่าท่านไม่อาจชนะ เกือบจะแน่นอนว่าท่านจะไม่ชนะ
ถ้าท่านคิดว่าท่านย่อยยับ ท่านจะย่อยยับ

จากข้อความข้างต้น เป็นคำพูดของ นโปเลียน ฮิลล์ อดีตที่ปรึกษาของ 3 ประธานาธิบดีของอเมริกา ทำให้เรารู้ว่า ความคิดเป็นตัวกำหนดสิ่งต่างๆ ในตัวของมนุษย์เรา ความคิดทำให้เกิดความเชื่อมั่น ความคิดทำให้เกิดความท้อแท้ใจ ความคิดทำให้เกิดกำลังใจ ความคิดทำให้เกิดความมั่งคั่งและความคิดทำให้เกิด.......


การที่คนๆหนึ่งจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ความคิดของคนนั้นๆ เป็นหลัก บุคคลที่เกิดวิกฤตกับชีวิตเขามักเห็นโอกาสเสมอ แต่ตรงกันข้าม บุคคลที่มีโอกาสมักมองเห็นอุปสรรคต่างๆ แล้วไม่กล้าที่จะเดินทางไปหาเส้นทางสู่ความสำเร็จ

หากพวกเราได้ศึกษา บุคคลที่ประสบความสำเร็จในประวัติศาสตร์ มักผ่านการล้มเหลว มานับไม่ถ้วนจึงจะประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ความจริงแล้วความล้มเหลวมักสอนอะไรเราได้มากกว่าความสำเร็จ และทุกคนที่ผ่านการล้มเหลวมักจะแข็งแกร่งและฉลาดเฉลียวมากขึ้นกว่าเดิม

ฉะนั้น เราอย่าได้วิตกกังวลกับการกระทำหรือสิ่งที่เราทำมากเกินไปเพราะชั่วชีวิตอันสั้นของเราคือ การลองผิดลองถูกต่างหาก แต่สิ่งที่สำคัญคือ คนที่ประสบความสำเร็จหรือผู้ชนะ เมื่อล้มเหลว พ่ายแพ้แล้วจะลุกขึ้นสู้อีกครั้ง ดังนั้นจงอย่าได้กลัวความล้มเหลวกับชีวิต

ดังตัวอย่างบุคคลสำคัญๆ ในประวัติศาสตร์

เอดิสัน นักประดิษฐ์เอกของโลก ทำการประดิษฐ์สิ่งต่างๆ จนประสบความสำเร็จโดยเฉพาะหลอดไฟฟ้า แต่คนทุกคนมักมองว่าเขาประสบความสำเร็จ แต่หากศึกษาลงไปแล้วจะเห็นได้ว่า เขาผ่านการล้มเหลวนับร้อยๆ ครั้งในการผลิตสิ่งประดิษฐ์ของเขาโดยเฉพาะหลอดไฟฟ้า แต่เขาไม่เคยท้อแท้ใจ หากเขายอมแพ้ เลิกล้ม เราก็คงไม่มีหลอดไฟฟ้าใช้กันทุกวันนี้ หรือ นักการเมืองเอกของโลก

อับราฮัม ลินคอล์น เขาล้มเหลวในธุรกิจขายของชำ เขาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในหน้าที่ทหาร ช่างสำรวจ และทนายความ อีกทั้งเขายังพ่ายแพ้ในการแข่งขันลงเลือกตั้งในตำแหน่งต่างๆ มากมาย แต่เขาไม่ยอมแพ้ จนในที่สุด เขาก็ได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา หากเขายอมแพ้ เลิกล้ม เราคงไม่ได้ยินชื่อของเขาจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของอเมริกาและของโลก

ออร์วิล และ วิลเบอร์ ไรท์ 2 พี่น้องตระกูลไรท์ มีแรงบันดาลใจอยากสร้างเครื่องบิน แต่เขาทั้งสองก็พบกับความล้มเหลวในการทดลองบินเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน แต่เขาทั้งสองก็ไม่ยอมแพ้ จนในที่สุด ปี.พ.ศ.2446 ทั้งคู่จึงประสบความสำเร็จในการสร้างเครื่องบินลำแรกของโลก หากเขายอมรับกับความล้มเหลวและพ่ายแพ้ พวกเราคงไม่มีโอกาสได้นั่งเครื่องบินจนกระทั่งทุกวันนี้

ผู้พันแซนเดอร์ส เขาไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเท่าที่ควรจนกระทั่งเกษียณ เขาคิดว่าในชีวิตนี้เขาทำไก่ทอดอร่อยที่สุดเพราะเขามีสูตรไก่ทอดที่อร่อยที่สุด เขาจึงเดินทางเพื่อขายสูตรไก่ทอดให้นักลงทุน นักธุรกิจต่างๆ เขาต้องผ่านการล้มเหลวและการถูกผู้คนปฏิเสธ จากคนที่ 1 ไม่ซื้อ คนที่ 10 ไม่ซื้อ คนที่ 100 ไม่ซื้อ คนที่ 1,000 ไม่ซื้อ จนกระทั่งถึงคนที่ 1,009 จึงมีคนสนใจซื้อสูตรไก่ทอดของเขา ท่านผู้อ่านครับ ถ้าผู้พันแซนเดอร์ส ยอมแพ้ก่อนหรืออดทนไม่ได้กับการที่ถูกคนปฏิเสธ ของคนที่ 1,008 โดยไม่สู้ต่อหรือไม่เสนอขายสูตรไก่ให้คนที่ 1,009 พวกเราคงไม่ได้กินไก่ทอด KFC ที่โด่งดังไปทั่วโลก

ฉะนั้นพวกเราอย่าได้กลัวความล้มเหลว หรือ กลัวการปฏิเสธ ยิ่งล้มเหลวมาก ความสำเร็จยิ่งใกล้เข้ามาถึง ยิ่งถูกปฏิเสธมากเท่าไร แสดงว่าการตอบรับในการซื้อจะเข้าใกล้มาถึงแล้ว ไม่มีใครสามารถตราหน้าว่าเราเป็นคนล้มเหลวได้ นอกจากตัวเราเอง ดังนั้นขออย่าได้ยอมแพ้ ก่อนที่จะถึงเวลาของความสำเร็จ

...
  
การผูกใจคนทำงาน
โดย..ดร..สุทธิชัย ปัญญโรจน์

การทำงานเกี่ยวข้องกับคนนั้น จำเป็นจะต้องมีการ “ สร้างคน ” ซึ่งนับว่ายากมากเพราะการจะปั้นคนหรือทำให้คนเก่งงาน เก่งการบริหารได้นั้น ต้องใช้เวลา และการลงทุนทั้งทรัพยากรต่างๆ เช่น ส่งไปอบรม ส่งไปดูงาน ส่งไปเรียนต่อ อีกทั้งยังต้องใช้เงินจำนวนมาก เสียทั้งเวลา แต่เมื่อสร้างคนขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ยากเย็นยิ่งกว่า ก็คือ การรักษาคนเก่ง คนดี คนมีฝีมือ เอาไว้หรือจำเป็นจะต้องผูกใจคนเหล่านี้

ซึ่งการผูกใจคนทำงานให้ทำงานกับองค์กรนั้น ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่างดังนี้

1.ค่าตอบแทน ค่าตอบแทนต้องมีความเหมาะสม กับความรู้ ความสามารถ ตำแหน่งงานนั้นๆ เพราะมีองค์กรจำนวนไม่น้อย ใช้งานคุ้มค่า แต่ให้ผลตอบแทน เช่น เงินเดือน เบี้ยเลี้ยง โบนัสในอัตราที่ต่ำมาก จึงทำให้คนที่ทำงานเก่งในองค์กรนั้นๆ ไหลออกไปอยู่องค์กรอื่นๆ

2.ความก้าวหน้า บริษัท องค์กร จำนวนไม่น้อยที่ให้ผลประโยชน์ในอัตราที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถ ตำแหน่ง แต่ ก็ไม่สามารถผูกใจคนทำงานได้ เนื่องจาก บริษัทนั้น องค์กรนั้น
ไม่มีความก้าวหน้า ทำงานมานานแต่ไม่ได้รับตำแหน่งที่ดีขึ้นหรือสูงขึ้น

3.การเมืองในองค์กร องค์กรจำนวนไม่น้อยไม่สามารถผูกใจคนดี คนเก่งให้อยู่กับองค์กรได้เนื่องจาก ผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการ เล่นการเมืองในองค์กรมากไป ใครที่เป็นคนของนายก็จะเจริญเติบโต ใครขัดใจก็จะต้องถูกแบน ไม่ได้เกิดในหน้าที่การงาน การเล่นการเมืองในองค์กร หากมีมากเกินไปก็จะสร้าง ความแตกแยก ความวุ่นวายได้

4.องค์กรมีความเป็นสากล องค์กรที่มีลักษณะการบริหารแบบครอบครัว ไม่สามารถ ผูกใจคนให้เข้ามาทำงานได้เหมือนกับ องค์กรที่มีลักษณะเป็นสากล เพราะองค์กรขนาดใหญ่ที่มีความเป็นสากล เช่นบริษัทข้ามชาติ มักเลือกใช้คนตามความสามารถ มากกว่า ความสนิทสนมส่วนตัว พูดง่ายๆว่ามีการบริหารแบบคุณธรรมมากกว่าอุปถัมภ์

5.ผู้นำ คนทำงานบางคน อยากอยู่ทำงานกับผู้นำที่ดี มีความรักความเมตตา มีความยุติธรรมมากกว่าอยากอยู่ทำงานกับผู้นำที่ทุจริต ไม่ซื่อสัตย์ ไม่เสียสัตย์ ดังจะเห็นได้ว่า ถ้าผู้นำดี ลูกน้องรัก เมื่อผู้นำย้ายไปอยู่ที่ไหน ลูกน้องหรือคนทำงาน ก็อยากจะย้ายตามไปอยู่ด้วย

6.ความมั่นคงในหน้าที่การงาน คือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนอยากทำงานกับองค์กรนั้นๆ ไม่ใช่ทำงานไปทำงานมา บอกว่า ขอย้าย ขอปลดออก ให้ออก ไล่ออก หากองค์กรมีลักษณะอย่างนี้ เชื่อแน่ว่า คงไม่มีคนทำงานคนไหน อยากเข้าไปอยู่ทำงานในองค์กรนั้นๆ

และยังมีอีกหลายปัจจัย ซึ่งปัจจัยทั้งหมดข้างต้นนี้ คือ ปัจจัยในการผูกใจคนให้ทำงานในองค์กร ให้ได้นาน ถ้าองค์กรใดมีปัจจัยในข้างต้น หลายข้อก็จะทำให้คนทำงานอยากอยู่ในองค์กรนั้นๆ มากกว่าองค์กรที่มีปัจจัยข้างต้นน้อยข้อ แต่การที่คนเราจะเลือกทำงานอยู่กับองค์กรใด ทั้งนี้ คงขึ้นอยู่กับความพอใจหลายๆอย่างมากกว่า เช่น บางคน อาจเห็นว่าเงินสำคัญ ถ้าองค์กรนั้น ตอบสนองเรื่องเงิน ก็จะทำให้คนอยากทำงานต่อ แต่บางคนไม่เห็นว่าเงินสำคัญ แต่เห็นว่าความก้าวหน้า ชื่อเสียง การถูกยกย่องสำคัญกว่า หากองค์กรเพิ่มเงินให้ก็ไม่สามารถผูกใจคนเหล่านี้ได้ เพราะ เกาไม่ถูกที่คัน เพราะบางคนเป็นลูกคนรวย เป็นลูกเศรษฐี ขับรถ BMW มาทำงานเสียค่าน้ำมันตั้ง สองสามหมื่นบาท แต่มารับเงินเดือนเพียง หมื่นสองหมื่นบาท เขาก็คงไม่เอา







...
  
โค้ช สิริลักษณ์ ตันศิริ
โค้ช สิริลักษณ์ ตันศิริ มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในเรื่องของการ ปลุกพลังใจ ปลุกไฟในการทำงาน ปรับเปลี่ยนทัศนคติวิธีคิด และสร้างแรงบันดาลใจ ให้คนอยากพัฒนาตัวเอง เพื่อยกระดับความสำเร็จในการทำงานและเพิ่มความสุขในการใช้ชีวิต

โค้ช สิริลักษณ์ มีประสบการณ์โดยตรงในการเปลี่ยนแปลงตัวเองแบบคนละขั้ว . . จากอดีต นักบัญชี ผู้เฉิ่ม เชย โลกแคบ พูดน้อย จนได้ฉายาว่าเป็น "ซูเปอร์ซิ้ม" . . ให้กลายมาเป็น "ซูเปอร์วูแมน" เป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เป็นนักโมติเวท ภายในเวลาที่รวดเร็วมาก !!

เหตุเพราะ โค้ช สิริลักษณ์ได้มีโอกาสเรียนรู้กับปรมาจารย์ระดับ World Class หลายท่าน เช่น Anthony Robbins, T.Harv Eker, Brian Tracy, Robert Kiyosaki ซึ่งเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างมาก . . และที่สำคัญคือ โค้ชได้นำเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปลงมือปฏิบัติ ทำให้ชีวิตของโค้ชเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่ามหัศจรรย์ . . โค้ชได้ค้นพบศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวเอง ได้ค้นพบความฝันและแรงบันดาลใจของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างมาก

โค้ชสิริลักษณ์ มีความปรารถนา ที่จะเผยแพร่สิ่งที่ได้จากการเรียนรู้กับกูรูระดับแนวหน้าของโลก และประสบการณ์ตรงจากการพัฒนาตนเองแบบก้าวกระโดด ให้คนอื่นได้ทราบ โดยผ่านรูปแบบของงานสัมมนา หนังสือ ซีดี และบทความต่างๆ . .

งานสัมมนาของโค้ชสิริลักษณ์ เป็นรูปแบบที่แปลกใหม่ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น เต็มเปี่ยมไปด้วยความสนุกสนาน สามารถสร้างพลัง และแรงบันดาลใจ ให้แก่ผู้เข้าร่วมงานสัมมนาได้เป็นอย่างมาก!!

เป็นการบรรยายที่มีครบทุกรสชาติ . . ทั้ง เปรี้ยว หวาน มันส์ ฮา ได้ปัญญา . . และที่สำคัญ คือ . . ชีวิตเปลี่ยน !!!

งานบรรยายมี 3 รูปแบบ คือ

1. การพูดสร้างแรงบันดาลใจ (Inspirational Speaking) ส่วนใหญ่จะเป็นการพูดประมาณ 1-2 ชั่วโมง ถึงแม้จะเป็นช่วงสั้น แต่ผู้ฟังจะยังคงได้แรงบันดาลใจ ได้พลัง ได้แง่คิดที่ดี และจะได้ทำกิจกรรมที่สนุกสนานเล็กๆน้อยๆระหว่างการฟังบรรยายด้วย การรับเชิญไปพูดสร้างแรงบันดาลใจลักษณะนี้ มักจะเป็นงานใหญ่ที่ผู้จัดมีวาระการประชุมหลายหัวข้ออยู่แล้ว และต้องการเสริมสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ฟัง เช่น
• งาน Kick Off ของบริษัท
• งานประชุมใหญ่ประจำปีของบริษัท
• งานประกาศเกียรติคุณของผู้ทำผลงานได้ยอดเยี่ยม
• งานเลี้ยงขอบคุณลูกค้าหรือคู่ค้า
• งานเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็น
หัวข้อในการพูด สามารถกำหนดได้ตามวัตถุประสงค์ของแต่ละงาน

2. การจัดสัมมนารอบผู้สนใจทั่วไป (Public Seminar) เป็นการจัดสัมมนาโดยเปิดขายบัตร ให้บุคคลผู้สนใจทั่วไป เข้าฟัง เพราะส่วนใหญ่โค้ชจะได้รับเชิญไปบรรยายในองค์กรขนาดใหญ่
งานสัมมนา Public เหมาะสำหรับ
• บริษัทขนาดเล็กที่พนักงานน้อยกว่า 50 คน สามารถส่งพนง.ไปเข้าร่วมได้
• กลุ่มตัวแทนประกันชีวิต
• กลุ่มนักธุรกิจเครือข่าย MLM
• บุคคลทั่วไปผู้สนใจในการเรียนรู้พัฒนาตัวเอง
• ผู้ที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิตให้เร็วกว่าที่เป็นอยู่
เนื่องจากโค้ชมีภารกิจค่อนข้างมาก ดังนั้นนานๆจะจัด Public Seminar สักครั้ง เวลาที่พลาดรอบไหนไป ก็จะต้องรอรอบใหม่อีกนาน

3. การจัดสัมมนาภายในองค์กร (In-House Training) เป็นการบรรยายให้กับบุคลากรภายในองค์กรโดยเฉพาะ ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ชอบเชิญไป “ปลุกยักษ์” ให้กับฝ่ายขายและฝ่ายการตลาด เพราะกลุ่มคนเหล่านี้เป็นเหมือนแม่ทัพใหญ่ในการหารายได้เข้าบริษัท . . ปัญหาส่วนใหญ่ที่เจอก็คือ ทีมขายไม่มีพลัง ขาดความกระตือรือร้น ใจไม่สู้ กลัวกับเป้าการขายที่สูง หมดกำลังใจ ท้อใจ คิดว่าเศรษฐกิจไม่ดี การแข่งขันสูง ขายยากฯ . . โค้ชจะไปสร้างพลังใจ สร้างความกระตือรือร้น ดึงศักยภาพ และปลุกความฮึกเหิมให้เกิดขึ้นมาใหม่!!

บางองค์กรก็จัดให้พนักงานทั้งหมดทุกแผนกในบริษัทได้ฟัง เพราะอยากสร้างพลังร่วมกัน อยากปรับเปลี่ยนแนวคิดให้ไปในทิศทางเดียวกัน อยากกระตุ้นให้เกิดความกระตือรือร้น ทำงานอย่างสนุก มีความสุข และทำในเชิงรุกมากขึ้น อยากปลูกฝังให้รักองค์กร รักลูกค้า รักงานที่ทำ อยากให้เกิดความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกัน





ประวัติส่วนบุคคล
ที่อยู่ : 236/20 ซอยประชาอุทิศ92 ถนนประชาอุทิศ แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140
โทรศัพท์ติดต่อ : 02-274-8329 081-668-1561
Email Address : coach_siriluck@yahoo.com


ประวัติการศึกษา
• มัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน
• มัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
• ปริญญาตรี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
• ปริญญาโท MBA - FINANCE AND MANAGEMENT
SCRANTON UNIVERSITY, PENNSYLVANIA, U.S.A.

คุณวุฒิทางการศึกษาอื่น
- ผ่านการอบรม "Unleash the Power Within" ของ "Anthony Robbins" ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น
World"s #1 Success Coach
- ผ่านการอบรม "Millionaire Mind Intensive", "Guerilla Business Intensive" , "Train the Trainer" , "Enlighten Warrior Camp" ของ " T. Harv Eker " ผู้แต่งหนังสือ Best Seller ชื่อ Secrets of the Millionair Mind - ไขความลับสมองเงินล้าน
- ผ่านการอบรม "The Secrets to Doubling Your Sales, Productivity and Success" ของ "Brian Tracy"
- ผ่านการอบรม "Rich Dad Poor Dad" ของ "Robert Kiyosaki"
- ผ่านการอบรมหลักสูตรของสถาบันโฮไอ ได้แก่
Mind Training
Leader Training
- ผ่านการอบรมหลักสูตรต่างๆของสถาบัน "Landmark Education" เช่น
The Landmark Forum
The Landmark Advance Course
Communication Access to Power
Introduction Leader Program (ILP)
Relationships
Being Extra-ordinary The Landmark Forum in Action
Self Expression and Leadership Program
Advance Communication : Power to Create
Living Passionately
Commitment


ประสบการณ์ทำงาน
• อดีต ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ และผู้จัดการฝ่ายบัญชี

ปัจจุบัน
• โค้ชด้านการพัฒนาตนเอง
• นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ
• นักโมติเวทหญิงคนแรกของเมืองไทย
• คอลัมนิสต์ เขียนบทความในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และ หนังสือพิมพ์เส้นทางนักขาย
• เจ้าของผลงานหนังสือ Hot Hit 2 เล่ม คือ "เมื่อยักษ์ตื่น" และ "ปลุกยักษ์..ปลุกพลังในตัวคุณ"

ผลงาน ที่ผ่านมา
จัดงานสัมมนา " THE POWER WITHIN YOU " และได้รับเชิญไปบรรยายให้แก่
บริษัทและองค์กรต่างๆหลายแห่ง (มีทั้งในนามบริษัทและในแต่ละกลุ่มผู้นำ) อาทิเช่น

1. กลุ่มธุรกิจประกันชีวิต :


• บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด (AIA)
• บริษัท ไอเอ็นจีประกันชีวิต จำกัด (ING)
• บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด
• บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด • บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด
• บริษัท อยุธยา อลิอันซ์ ซีพี ประกันชีวิต จำกัด (AACP)
• บริษัท กรุงไทย แอ๊กซ่า ประกันชีวิต จำกัด
• บริษัท ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต จำกัด

2. กลุ่มธุรกิจเครือข่าย MLM :
• บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด
• บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด
• บริษัท ซินเนอร์จี้เวิร์ดไวด์ (ประเทศไทย) จำกัด • บริษัท เฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด จำกัด
• บริษัท ลาชูเล่ คอสเมติก (ประเทศไทย) จำกัด
• บริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ จำกัด (บริษัทในเครือสหฟาร์ม)

3. บริษัทเอกชนทั่วไป :
• บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)
• บริษัท ซีพี เซเว่น-อีเลเว่น จำกัด
• บริษัท ซีพีเอฟ ผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด
(บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ CP)
• บริษัท เยื่อกระดาษสยาม จำกัด (มหาชน) (ในเครือปูนซิเมนต์ไทย)
• บริษัท ผลิตภัณฑ์กระดาษไทย จำกัด (ในเครือปูนซิเมนต์ไทย)
• ธนาคารแห่งประเทศไทย
• ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
• ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
• บริษัท สหวิริยาสตีล อินดัสตรี จำกัด (มหาชน)
• บริษัท โอสถสภา จำกัด
• American Standard B&K (Thailand) PCL.
• Bristol-Myers Squibb Thai Ltd. (Mead Johnson)

• บริษัทในกลุ่มสามารถคอร์ปอเรชั่น
• Wyeth-Ayerst (Thailand) Ltd.
• Pfizer (Thailand) Limited
• Takeda (Thailand) Ltd.
• NEC TOKIN Electronics (Thailand) Co.,Ltd.
• บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จำกัด
• บริษัท ซีคอน จำกัด (รับสร้างบ้าน)
• บริษัท มาสเตอร์คูล จำกัด (ผลิตและจำหน่ายพัดลมไอน้ • ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน)
• โรงแรมเอเชีย และ กลุ่มบริษัทในเครือ
• บริษัท ธนบุรี ฮอนด้า คาร์ จำกัด
• บริษัท โรงงานแม่รวย จักด (ถั่วโก๋แก่)
• บริษัท เอฟ แอนด์ เอ็น จำกัด (จำหน่ายนมและน้ำผลไม้เนสเล่ย์)
• บริษัท แปซิฟิค อินเตอร์เน็ต จำกัด
• บริษัท เน็ตเบย์ จำกัด และบริษัทในเครือ

• บริษัท เอลก้า จำกัด (ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องสำอางค์ Estee Lauder)
• บริษัท เฮงเคิล จำกัด (ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม Schwarzkopf และกาวอุตสาหกรรม)
• UPS Parcel Delivery Service Ltd. (ธุรกิจขนส่งพัสดุภัณฑ์)
• Mars (Thailand) Co.,Ltd. (เพ็ทดีกรี, วิสกัส, ช็อกโกแล็ต M&M)
• บริษัท สวารอฟสกี้ จำกัด (นำเข้าและจัดจำหน่ายคริสตอลจากออสเตรีย)
• กลุ่มบริษัทท้อปเท็นเทรดดิ้งกรุ๊ป (ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง MARWELL)

* DTAC

* Nestle' (Thai) Ltd.


4. หน่วยงานราชการ :
• กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
• กรมชลประทาน

• กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (โครงการผู้ค้าส่ง- ค้าปลีก)
• กรมพัฒนาชุมชน
...
  
นายชวน หลีกภัย
เกิดเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 ที่ตำบลท้ายพรุ [1]อำเภอเมือง จังหวัดตรัง เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวน 9 คน ของนายนิยม หลีกภัย และนางถ้วน หลีกภัย เมื่อยังเด็ก นายชวนมีชื่อเรียกในครอบครัวว่า "เอียด" หมายถึง เล็ก เนื่องจากเป็นคนรูปร่างเล็ก

มีบุตรชายกับนางภักดิพร สุจริตกุล หนึ่งคน คือ นายสุรบถ หลีกภัย[2]

นายชวน หลีกภัย เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสองสมัย สมัยแรกระหว่างปี พ.ศ. 2535-2538 (ครม.คณะที่ 50) สมัยที่สองระหว่างปี พ.ศ. 2540-2544 (ครม.คณะที่ 53) และเคยดำรงตำแหน่งเป็น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ติดต่อกัน 3 สมัย ระหว่างปี พ.ศ. 2534-2546 เป็นเวลารวม 12 ปี

ประวัติการศึกษา และวุฒิกิตติมศักดิ์
ประถมศึกษา โรงเรียนวัดควนวิเศษ จังหวัดตรัง
มัธยมศึกษา โรงเรียนมัธยมวัดควนวิเศษ และโรงเรียนตรังวิทยา
สำเร็จการศึกษาโรงเรียนศิลปศึกษา แผนกจิตรกรรมและประติมากรรม เตรียมมหาวิทยาลัยศิลปากร (วิทยาลัยช่างศิลป์ ในปัจจุบัน)
พ.ศ. 2505 นิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พ.ศ. 2507 เนติบัณฑิต สำนักอบรมศึกษาทางกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา สมัยที่ 17
พ.ศ. 2528 ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
พ.ศ. 2530 ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
พ.ศ. 2536 ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์
พ.ศ. 2537 ดุษฎีบัณฑิต สาขาวรรณกรรม (ภาพเขียน) มหาวิทยาลัยศิลปากร
พ.ศ. 2541 นิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล
พ.ศ. 2542 ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัย San Marcos สาธารณรัฐเปรู
พ.ศ. 2548 รัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาการเมืองการปกครอง) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พ.ศ. 2552 นิติศาสตร์คุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ประวัติการทำงาน
นายชวน หลีกภัยได้เริ่มต้นชีวิตการทำงานโดยการเป็นทนายความ และต่อมาได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดตรัง ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้มาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในปี พ.ศ. 2534 ชวน หลีกภัย ได้เคยดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการมาหลายกระทรวง ซึ่งได้แก่ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข รวมถึง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้าน ในปี พ.ศ. 2533 ชวน หลีกภัย ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี และต่อมาในปี พ.ศ. 2535 ได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี สมัยที่ 1 และวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 2 พร้อมควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา นายชวนเป็นพลเรือนคนที่สอง นับจาก ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงนี้ ทั้งหมดดูที่ประวัติการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์

ในเหตุการณ์ 6 ตุลา ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์พร้อมกับรัฐมนตรีในพรรคประชาธิปัตย์อีก 2 คน คือ นายดำรง ลัทธพิพัฒน์ และ นายสุรินทร์ มาศดิตถ์


สรุปประวัติทางการเมือง

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สมัยแรก) พ.ศ. 2512
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สมัยที่สอง) พ.ศ. 2518
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงยุติธรรม พ.ศ. 2518
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สมัยที่สาม) พ.ศ. 2519
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2519
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พ.ศ. 2519
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สมัยที่สี่) พ.ศ. 2522
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พ.ศ. 2523
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2524
รัฐมนตรว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2525-2526
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สมัยที่ห้า) พ.ศ. 2526
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สมัยที่หก) พ.ศ. 2529
ประธานสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2529-2531
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สมัยที่เจ็ด) พ.ศ. 2531
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2531-2532
รองนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2532 - 26 ส.ค.2533
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2533 (ส.ค.-ธ.ค.2533)
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (26 ม.ค.2534 - 4 พ.ค. 2546)
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สมัยที่แปด) พ.ศ. 2535 (22 มี.ค.2535)
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สมัยที่เก้า) พ.ศ. 2535 (13 ก.ย.2535)
นายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2535 (23 ก.ย.2535 - 20 ก.ค.2538)
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สมัยที่สิบ) พ.ศ. 2538 (2 ก.ค.2538)
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2538 (4 ส.ค.2538)
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สมัยที่สิบเอ็ด) พ.ศ. 2539 (17 พ.ย.2539)
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2539 (21 ธ.ค.2539)
นายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2540 (9 พ.ย.2540 - 8 ก.พ.2544)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2540 (14 พ.ย.2540-18 ก.พ.2544)
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สมัยที่สิบสอง) พ.ศ. 2544 (6 ม.ค.2544)
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2544 (11 มี.ค.2544)
ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ (พ.ศ. 2546 - ปัจจุบัน)
นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย

การอภิปรายในสภา ของนายชวน หลีกภัยวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2535 ถึง 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2538
นายชวน หลีกภัย ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยแรก ดำรงตำแหน่งระหว่างเป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 20 และยังเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของไทยที่มาจากการเลือกตั้ง สิ้นสุดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยการยุบสภา

วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 - 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543
นายชวน หลีกภัย ได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่สอง โดยรับช่วงต่อหลังจาก พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากเกิดปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนักจนต้องลอยตัวค่าเงินบาท กองทัพไม่ได้ต่อต้านการคืนสู่ตำแหน่งของเขา นายชวนได้แต่งตั้งคณะทำงานด้านเศรษฐกิจที่น่าเชื่อถือจนได้รับความเชื่อถือและเห็นชอบจากสถาบันการเงินนานาชาติและสหรัฐอเมริกา มุ่งไปสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ อีกทั้งรัฐบาลผสมก็เอาชนะความพยายามของฝ่ายค้านในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้นายชวนจะไม่ใช่นักการเมืองที่น่าดึงดูดใจ แต่ก็ได้รับการสนับสนุนและไว้วางใจ เพราะถูกมองว่าซื่อสัตย์ มุ่งปฏิรูประบอบประชาธิปไตยและขจัดการฉ้อราษฎร์บังหลวง [3]

การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสมัยที่สอง ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เคารพกติกาประชาธิปไตย[ต้องการอ้างอิง] เนื่องจากรัฐบาลจัดตั้งขึ้น โดยกลุ่มของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลเดิมสนับสนุนให้ พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนาขึ้นดำรงตำแหน่งแทน โดยการสนับสนุนของพรรคความหวังใหม่ (125 คน) พรรคชาติพัฒนา (52 คน) พรรคประชากรไทย (18 คน) และ พรรคมวลชน (2 คน) รวม 197 เสียง ส่วนฝ่ายค้านเดิมนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ (123 คน) ร่วมกับพรรคชาติไทย (39 คน) พรรคเอกภาพ (8 คน) พรรคพลังธรรม (1 คน) พรรคไท (1 คน) และพรรคร่วมรัฐบาลเดิมได้แก่พรรคกิจสังคม (20 คน) และพรรคเสรีธรรม (4 คน) สนับสนุนนายชวน หลีกภัย ด้วยเสียงทั้งสิ้นรวม 196 เสียง ซึ่งน้อยกว่าฝ่ายรัฐบาล 1 เสียง[4]

การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายชวน หลีกภัย ก่อให้เกิดกลุ่มการเมือง ที่ถูกตั้งชื่อว่า กลุ่มงูเห่า ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคประชากรไทยจำนวน 12 คนที่เข้าร่วมสนับสนุนรัฐบาล โดยคำชวนของ พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ จนกระทั่งถูกพรรคประชากรไทยมีมติขับไล่ ทั้ง 12 ออกจากการเป็นสมาชิกพรรค และส่งผลให้สิ้นสุดสถานภาพ ส.ส.ตามกฎหมาย กลุ่มงูเห่าทั้ง 12 คน ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่ามติดังกล่าวเป็นมติที่ไม่ชอบ ขัดต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้ ส.ส.ทั้ง 12 คน ยังคงสถานภาพ และหาพรรคใหม่สังกัด

นอกจากกรณีกลุ่มงูเห่าแล้ว ยังมีกรณีรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลที่ได้รับการตัดสินว่ามีความผิดทางการเมืองอีก 2 ท่าน ได้แก่ นายรักเกียรติ สุขธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยนายรักเกียรติ สุขธนะ (พรรคชาติไทย) ได้รับคำพิพากษาตัดสินจาก ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้จำคุกเป็นเวลา 5 ปี ฐานเรียกรับสินบนบริษัทยา ทีเอ็น พี เฮลท์ แคร์ จำกัด ซึ่งนับว่าเป็นรัฐบาลชุดแรกที่รัฐมนตรีร่วมรัฐบาล ได้รับโทษถึงที่สุดให้จำคุกจากการทุจริตในระหว่างการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในคณะร้ฐบาล

นอกจากนี้ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ของรัฐบาลนายชวน หลีกภัยและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้รับคำพิพากษาจากศาลรัฐธรรมนูญ ห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเป็นเวลา 5 ปี จากการรายงานบัญชีทรัพย์สินตกหล่น

การจัดตั้งรัฐบาลสมัยที่สองของนายชวนนี้ ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะชนชั้นกลางใน กทม. เนื่องจากคาดว่ารัฐบาลนายชวน หลีกภัย จะสามารถฉุดประเทศไทยออกจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เริ่มขึ้นในรัฐบาลของ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ แต่การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลนายชวน หลีกภัยไม่บรรลุผลไม่สามารถดึงเศรษฐกิจให้หลุดพ้นจากภาวะการตกต่ำได้ทันใจ ความต้องการของประชาชน ทำได้แค่นำคนไข้ออกจากห้องฉุกเฉิน เข้าพักฟื้นในห้องคนป่วยปกติ แม้ว่าจะได้ดำเนินการมากว่า 3 ปี นอกจากนี้ นโยบายพรรคไทยรักไทย ยังเป็นที่ดึงดูดใจของประชาชน เช่น ปลดหนึ้เกษตรกร หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และ สามสิบบาทรักษาทุกโรค ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งถัดมาในปี พ.ศ. 2544 ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์การพ่ายแพ้ต่อพรรคไทยรักไทย และนายชวน ต้องกลับมาเป็นฝ่ายค้าน

คำยกย่องและคำวิจารณ์

นายชวน หลีกภัย ขณะปราศรัยหาเสียงที่จังหวัดตรัง ในการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2512 ซึ่งนายชวนลงสมัครเป็นครั้งแรก โดยมี หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช (ชุดขาว) หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้น นั่งไขว่ห้างฟังอยู่ข้างล่างคำยกย่อง
ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย และยึดถือในเรื่องของหลักการเป็นอย่างมาก[ต้องการอ้างอิง]
เป็นนักการเมืองที่มือสะอาด จนได้รับฉายา Mr. Clean (นายสะอาด) [5] นอกจากนี้ภาพที่พบจากสื่อมักแสดงให้เห็นว่าใช้ชีวิตอย่างสมถะ[ต้องการอ้างอิง]
เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่กล้าประกาศว่า รมต. ว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่จำเป็นต้องเป็นทหาร แสดงให้เห็นถึงบุคลิกผู้นำและบริหารปราศจากอำนาจของทหารได้เป็นอย่างดี
คำวิจารณ์
การอนุมัติแต่งตั้ง จอมพลถนอม กิตติขจร หนึ่งใน 3 ทรราช เป็นนายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ เมื่อปี พ.ศ. 2542 ท่ามกลางกระแสไม่พอใจของสังคม สื่อมวลชน และโดยเฉพาะญาติของผู้เสียชีวิต/สูญหายในเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 และ 6 ตุลา 19[6]
ชวน หลีกภัยมักออกรับประกันแทนลูกพรรคที่ได้รับการวิจารณ์ว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริต เปรียบเสมือนกับการทาสีดำให้เป็นขาวจนได้รับสมญานาม "ช่างทาสี" ในการตั้งสมญาประจำปีของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ในปี พ.ศ. 2545 ชวนได้สมญาว่าเป็น "แผ่นเสียงตกร่อง" [ต้องการอ้างอิง]
ได้รับคำวิจารณ์ว่าทำงานช้า โดยมีคำพูดที่ถูกนำไปล้อเลียนประจำคือ "ผมยังไม่ได้รับรายงาน" "ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอน" "อันนี้ผมกำลังพิจารณาอยู่"
ในช่วงเดือนปลายปี 2547 ภายหลังเหตุการณ์สึนามิ ชวน หลีกภัย ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการขอใช้งบประมาณ 2 หมื่นล้านบาทในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยของรัฐบาลว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น และให้ความเห็นว่า การใช้งบประมาณนี้ ในการช่วยเหลือภาคใต้ ยิ่งเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะว่ารัฐบาลละเลยไม่ดูแลพื้นที่ดังกล่าวมาตลอดสี่ปี เพื่อเป็นการแก้เผ็ด ที่ไม่เลือกรัฐบาล [ต้องการอ้างอิง]
กรณีขายสินทรัพย์ ปรส. และ "กฎหมายขายชาติ" 12 ฉบับ มีการโจมตีกันอย่างมากแต่จนแล้วจนรอด ข้อกล่าวหากฎหมายเหล่านี้เป็นแค่เกมการเมือง จะเห็นได้ชัดว่ารัฐบาลยุคต่อไปของทักษิณก็ยังใช้อยู่ [ต้องการอ้างอิง]
บทบาททางการเมืองภายหลังพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
หลังจากการเลือกตั้ง พ.ศ. 2544 นายชวน หลีกภัย กลับมาเป็นผู้นำฝ่ายค้านอีกครั้ง เมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2544 และต้องการ ก้าวลงจากตำแหน่ง หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งจากการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งหัวหน้าพรรคใน 2 ปีถัดมาเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2546 นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ได้รับเลือก เป็นหัวหน้าพรรค ทำให้รวมแล้วนายชวน หลีกภัย ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค 3 สมัยเป็นเวลาทั้งสิ้น 12 ปี

ในการเลือกตั้งครั้งถัดมาเมื่อปี พ.ศ. 2548 หลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์ ไม่สามารถได้รับคะแนนเสียงเพียงพอ ต่อการจัดตั้งรัฐบาล แข่งกับพรรคไทยรักไทย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ลาออกจากตำแหน่งตัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแทน

ปัจจุบัน นายชวน หลีกภัย ดำรงตำแหน่ง ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์

...
  
หัวอกนักพูด(อ.วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์)
“หัวอกนักพูด”
มีหลายคนแกล้งพูดให้บรรดานักพูดอย่างพวกผมได้ยินอยู่เรื่อยๆว่า “อาชีพนักพูดนี่ดีเนอะ ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรมากมายในการประกอบอาชีพ จะไปไหนก็แค่หิ้วปากไปด้วยเท่านั้น ก็ใช้หากินได้แล้ว!” ซึ่งผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่า นี่เป็นคำชมหรือคำกระแหนะกระแหนกันแน่
ผมจึงค่อนข้างสะใจไม่น้อยที่อาจารย์สุขุม นวลสกุล พี่ใหญ่ในวงการนักพูด กล่าวสวนคำพูดนี้ไปในทันทีว่า “ใช่สิ นักพูดเนี่ยไปไหนก็แค่หิ้วปากไปด้วย ส่วนตีนน่ะ ค่อยไปหาเอาข้างหน้า!?!” ประโยคนี้ของอาจารย์สุขุมฯ อาจจะแปลความหมายได้ว่า อาชีพนักพูดมันไม่ได้ทำง่ายอย่างที่ใครๆ คิด เพราะพูดแล้ว โอกาสที่จะเจอตีนก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว และกว่าจะมามีวันนี้ ก็ล้วนเจอตีนกันมามากบ้างน้อยบ้าง ถ้วนทั่วทุกตัวคน
ถ้าถามว่า “นักพูด” จัดเป็นอาชีพๆหนึ่งได้หรือไม่ ก็อาจจะมีผมเพียงคนเดียวที่ยืนยันมาตลอดว่า “นักพูด” น่ะมันไม่ใช่อาชีพ แต่มันเป็นฉายา เป็นสมญานาม เป็นความสามารถพิเศษ เป็นความถนัด เป็นทักษะ เป็น พรสวรรค์ หรือเป็นคุณสมบัติของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งเขาหรือเธอผู้นั้นก็อาจจะมีอาชีพที่หลากหลายแตกต่างกันไป เพียงแต่มีความสามารถพิเศษประการหนึ่งเป็นคุณสมบัติประจำตัว นั่นคือมีความสามารถทางด้านการพูด อาทิเช่น :-
อาจารย์สุขุม นวลสกุล น่าจะถือได้ว่าท่านเป็นนักวิชาการนักพูด ท่านอาจเชี่ยวชาญการพูดในหลายรูปแบบ แต่ในความรับรู้ของผู้คนในสังคม ท่านเป็นนักวิชาการที่เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง เวลาสื่อมวลชนจะสัมภาษณ์ผู้รู้สักคนหนึ่งเรื่องการบ้านการเมือง ท่านเป็นผู้หนึ่งที่ทุกคนจะต้องนึกถึงในลำดับต้นๆ
รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา ท่านก็เป็นนักวิชาการนักพูด ซึ่งเชี่ยวชาญวิชาการด้านการตลาด ด้านการบริหารจัดการ ด้านนิเทศศาสตร์ สื่อสารมวลชน ด้านฯลฯ (ท่านมีความสามารถหลายด้านเหลือเกินจนจารไนไม่ไหว ดูเหมือนท่านจะรวมเอาความเก่งทุกอย่างมาไว้ในตัวท่านหมด แม้แต่เพศหญิง เพศชาย ท่านก็ยังเหมาเอามารวมไว้ที่ตัวท่านคนเดียวด้วยเลย! ผมภาวนาว่าท่านจะไม่ได้อ่านข้อเขียนของผมชิ้นนี้!)
อาจารย์พเยาว์ พัฒนพงศ์ ท่านเป็นครูนักพูด อาชีพหลักของท่านก็คือสอนหนังสือ
อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ นี่ก็เป็นนักพูดอีกท่านหนึ่งที่พูดได้หลายรูปแบบ แต่ถ้าถามว่าอะไรคืองานหลักของท่าน ก็ต้องตอบว่าท่านเป็นผู้บริหารอยู่ในบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกแห่งหนึ่ง และเป็นมาหลายปีแล้ว เดินทางไปประชุมที่โน่นที่นี่แทบจะรอบโลกแล้ว งานพูดถือเป็นงานรอง เพียงแต่ดูเหมือนจะทำเงินได้มากกว่างานหลักเท่านั้น จนนายฝรั่งของท่านต้องโทรตามตัวท่านอยู่บ่อยครั้ง พร้อมกับพูดกับท่านว่า “โอว มิสเตอร์เสน่ห์ ไออยากจะขอความกรุณายูนิดหน่อย คือวันไหนว่างๆ ยูช่วยเข้ามาทำงานบ้างนะ! พลีส” จึงอาจเรียกท่านได้ว่าเป็นนักบริหารนักพูด
อาจารย์ถาวร โชติชื่น ท่านก็เป็นนักบริหารนักพูดเช่นเดียวกัน ท่านเป็นผู้บริหารอยู่ในบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับประเทศแห่งหนึ่งซึ่งทำธุรกิจด้านอาหารสัตว์ ปัจจุบันท่านลาออกมาทำกิจกรรมส่วนตัวแล้ว เลยยังไม่รู้ว่าจะเรียกท่านว่านักอะไรดี? ได้ข่าวว่าท่านไม่ค่อยว่างเหมือนกัน เพราะทุกวันนี้นี่ ท่านต้องนั่งเฉยๆอยู่ทั้งวัน น่าอิจฉาจริงๆ!
อาจารย์พนม ปีเจริญ น่าจะถือได้ว่าท่านเป็นนักธุรกิจนักพูด เพราะงานหลักของท่านนั้น ท่านเป็นเจ้าของกิจการ เป็นนักธุรกิจที่ทำธุรกิจหลายด้าน งานการพูด ดูเหมือนจะเป็นงานอดิเรกของท่านมากกว่า
อาจารย์อภิชาติ ดำดี นี่ก็เป็นนักพูดอีกท่านหนึ่งที่ผมยังจัดไม่ค่อยจะถูกว่าจะเรียกท่านว่าเป็นนัก อะไรดี แต่ช่วงที่ผมกำลังเขียนข้อเขียนชิ้นนี้อยู่ ได้ข่าวว่าท่านกำลังจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ถ้าเกิดสอบได้ขึ้นมา เป็น สว.ท่านก็อาจได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองนักพูด หรือ สว.นักพูด แต่ถ้าสอบตก ก็อาจต้องเรียกท่านว่า สต.นักพูด(ไม่ออก) ไปพลางๆ!
อาจารย์นันทนา นันทวโรภาส แต่ก่อนอาจจะยังจัดท่านไม่ถูกว่าเป็นนักอะไร แต่ช่วงกำลังนี้ ตั้งแต่ท่านสำเร็จปริญญาเอกด้านสื่อสารทางการเมือง ทั้งสอนและบริหารหลักสูตร ก็อาจจัดได้ว่าท่านก็เป็นนักวิชาการนักพูดได้อีกท่านหนึ่ง
สำหรับอาจารย์จตุพล ชมภูนิช นั้น ผมมีความเห็นเป็นการส่วนตัวว่าท่านน่าจะได้ชื่อว่าเป็นศิลปิน นักพูด เพราะท่านเชี่ยวชาญที่สุดกว่าใครในเรื่องของ Entertainment Talk Show และตัวท่านเองก็วางภาพลักษณ์ หรือตำแหน่งทางการตลาดของตัวท่านเอง (Positioning) ไปในแนวดารา แนวคนในวงการบันเทิง จนอาจถือได้ว่าเป็นซุปเปอร์สตาร์ในด้านทอล์คโชว์เลยทีเดียว
แล้วผมล่ะ ผมเป็นอะไร? ผมแน่ใจว่าผมไม่ได้เป็นเอดส์ และไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไรทั้งสิ้น แต่ผมเป็นวิทยากรนักพูดนักฝึกอบรม เพราะงานหลักที่ผมใช้ทำมาหากินนั้นคือการไปเป็นวิทยากรบรรยาย สัมมนา และฝึกอบรมในหน่วยงานต่างๆ
ส่วนอีกสองท่าน ซึ่งผมมิได้หลงลืมท่านไปแต่ประการใด คืออาจารย์สุรวงศ์ วัฒนกูล และอาจารย์ผาณิต กันตามระ เพียงแต่ผมยังงงๆอยู่ ไม่รู้ว่าควรจะจัดท่านไปอยู่ในไฟลั่มไหน หรือสปีชี่ส์ใด แต่ในเบื้องต้นท่านน่าจะอยู่ในไฟลั่มเดียวกับผม คือเป็นวิทยากรนักพูดนักฝึกอบรม ที่เน้นการฝึกอบรมทางด้านธรรมะ ด้านวิปัสสนา ด้านกัม- ฐากกรรมฐานทรมานทรกรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่คนบาปหนาอย่างผมไม่มีวันเข้าถึง จึงอาจถือได้ว่าอยู่ในไฟลั่มเดียวกัน กับผม เพียงแต่อยู่กันคนละสปีชี่ส์!
ยังมีอีกหลายท่านที่ได้ชื่อว่าเป็นนักพูด ซึ่งผมยังมิได้เอ่ยนาม ณ ที่นี้ แต่เชื่อได้ว่าแต่ละท่านมีอาชีพอะไรสักอย่างหนึ่งทำเป็นหลักเป็นแหล่ง เป็นกิจจะลักษณะ ขณะเดียวกันก็มีทักษะพิเศษอย่างหนึ่งประจำตัวกันทุกท่าน คือความสามารถทางด้านการพูด
ที่ได้ยกตัวอย่างรายชื่อนักพูดมาทั้งหมดนั้น ในทางปฏิบัติ นักพูดแต่ละท่านอาจจะมีความสามารถทางการพูดหลายด้าน และมีกิจกรรมที่คาบเกี่ยวทับซ้อนกันอยู่หลายอย่างไปพร้อมๆกันจนเกือบแยกแทบไม่ออก เช่น อาจารย์สุขุมฯ ท่านก็เป็นวิทยากรฝึกอบรมด้านพัฒนาคนด้วย เป็นนักทอล์คโชว์ด้วย อาจารย์จตุพลฯ ท่านก็รับงานบรรยายในหัวข้อที่ท่านถนัดควบคู่กันไปกับงาน Entertainment Talk Show ด้วย เป็นต้น เพียงแต่ที่ผมจัดใส่อาชีพหลักให้แต่ละท่านว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ก็โดยการดูขีดความสามารถหลัก (Core Competency) และพิจารณาจากการรับรู้ของผู้คนในสังคม (Perception) เป็นเกณฑ์สำคัญนั่นเอง
ที่ได้กล่าวในประเด็นนี้มาเสียยืดยาว ก็เพื่อจะบอกว่านักพูดทุกคนต่างมีสัมมาอาชีวะกันทุกคน ไม่มีใครสักคนเดียวที่ไม่มีงานการอะไรทำ เอาแต่พูดๆๆ พูดกันให้ตายไปข้างหนึ่งอย่างเดียวเลย มีบางคนแกล้งมาพูดแหย่กึ่งบลั๊ฟนักพูดว่า “วันๆพวกคุณไม่คิดจะทำงานทำการอะไรให้มันเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาบ้างเลยหรือไง เห็นเอาแต่พูดๆๆกันอยู่นั่นอย่างเดียวเลย!?” บ่อยครั้ง ผมก็ต้องพูดสวนกลับไปว่า “ก็เนี่ยแหละ งานหลักของกูละ!”

ช่วงที่รายการทอล์คโชว์ทางโทรทัศน์เฟื่องฟูสุดขีดในยุคหนึ่ง นักพูดถูกจัดให้เป็นกลุ่มคนในวงการบันเทิงไปด้วยโดยปริยาย แต่ละคนนี่ต่างเดินสายออกรายการเกมส์โชว์ รายการทอล์คโชว์ ออกรายการนั้นรายการนี้ กันเป็นว่าเล่น มีคนเชิญไปพูดทอล์คโชว์งานนั้นงานนี้กันเป็นที่อึกทึกครึกครื้น ไปกันเป็นทีมบ้าง วันแมนโชว์บ้าง จนกระทั่งมีใครบางคนซึ่งไม่รู้เขาจะอิจฉาหรือริษยาตาร้อนหรือเปล่าก็ไม่ทราบ พูดเหน็บแนมนักพูดให้ได้ยินอยู่บ่อยๆว่า “ไอ้พวกนักพูดเนี่ย มันก็ไอ้พวกเดียวกับตลกคาเฟ่ละวะ ต่างกันอยู่หน่อยนึงตรงที่ว่า ตลกคือนักพูดที่ยืนพูดอยู่ในคาเฟ่ ส่วนนักพูดก็คือคนที่ไปเล่นตลกอยู่ห้องสัมมนา ถุยส์!” คำพูดนี้เสียดแทงหัวใจทั้งนักพูด และศิลปินตลกเป็นอย่างยิ่ง เพราะจริงๆแล้ว อาชีพของเราทั้งสองกลุ่มนี้มันอยู่กันคนละภพ คนละภูมิกันเลย ไหงจับเรามารวมกลุ่มกันได้ก็ไม่ทราบ แต่ก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่ทำแล้วมันได้ตังค์ แล้วได้มากด้วย เราก็ไม่ว่าอะไร! ปล่อยให้คนที่พูดประโยคนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกนักวิชาการเขาพูดกันไป ปล่อยให้พวกเขาไปทำงานค้นคว้าวิจัยทางวิชาการเรื่องวัฏจักรแห่งความยากจนของตนเองกันต่อไป
พูดถึงนักวิชาการแล้ว ไม่รู้เป็นอย่างไร ผมสงสัยว่าทำไมนักวิชาการบางคนถึงได้จงเกลียดจงชังนักพูดนักหนา มีโอกาสเป็นต้องพูดพาดพิง ต้องเหน็บแนม ต้องกระแหนะกระแหนนักพูดอยู่ร่ำไป บางคนก็พูดสับนักพูดเสียเละเลยว่า “ไม่รู้พวกมันมาเป็นผู้บรรยายความรู้ได้อย่างไร ยืนพูดออกท่าออกทางเหมือนกับจะเล่นปาหี่ ทำเสียงเล็กเสียงน้อยยังกับเล่นหนังเล่นละคร ใส่แต่แก๊ก ใส่แต่มุขตลกจนคนฟังไม่ได้สาระความรู้อะไร เอาแต่หัวเราะกันจนน้ำหูน้ำตาไหล เอาแต่ฮากันจนแทบจะตกเก้าอี้ ฮากันจนขี้แตกขี้แตน มันจะไปได้ความรู้สวรรค์วิมานอะไร!” โอ้โฮ เล่นใส่กันแบบนี้แหละครับ พวกนักพูดอย่างผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้ที่พวกผมทำๆอยู่เนี่ยมันถูกหรือเปล่า แต่ไอ้ที่พวกนักวิชาการทำๆกันอยู่ คือเวลาจะเรียนจะสอนต้องแจกหมอนกับผ้าห่มด้วยเนี่ย มันไม่ถูกแน่ๆ
นักวิชาการ ซึ่งเป็นอาจารย์อยู่ในมหาวิทยาลัยบางคนก็พูดจาเหยียดหยันนักพูดว่า “ไอ้พวกนักพูดเนี่ย ไม่เห็นมันจะมีความรู้อะไร แต่ดันรับพูด (แม่ม) ไปเสียทุกเรื่อง ทั้งๆที่ก็ไม่รู้จริงอะไรสักเรื่องหนึ่ง!” ผมนำคำพูดนี้มาไตร่ตรองดู ก็เห็นจริงด้วยอยู่เหมือนกัน สงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่าแล้วทำไมเราถึงได้หน้าด้านรับพูดมันไปเสียทุกเรื่องวะ? แต่ที่สงสัยหนักกว่านั้นคือ แล้วทำไมคนเชิญ เขาถึงได้ทนเชิญแต่นักพูดอย่างพวกผมที่ไม่รู้จริงอะไรสักเรื่องหนึ่งกันอยู่ได้ บางแห่งเชิญซ้ำอยู่นั่นแหละเป็นสิบรอบ ผมเคยถามคนจัดบางคนว่าทำไมไม่ไปเชิญพวกนักวิชาการ พวกอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมาพูดบ้างล่ะ เขาก็ตอบผมมาว่า “จริงอยู่ครับ บรรดานักวิชาการ บรรดาอาจารย์เหล่านั้น ท่านรู้ลึก รู้แจ้ง รู้จริง ในทุกเรื่อง แต่ท่านก็พูดไม่รู้เรื่องเลยซักเรื่องนึง!” นั่นน่ะซีครับ แล้วจะให้พวกผมทำยังไง นักพูดอย่างพวกผมอาจจะไม่ได้รู้จริงสักเรื่องนึงอย่างที่ท่านว่า แต่พวกผมก็พูดรู้เรื่องในทุกเรื่องที่พอจะรู้อยู่บ้าง ก็เท่านั้นเองครับ
ท่านผู้อ่านที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ เห็นหรือยังล่ะครับว่าเส้นทางของนักพูดก็ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบเช่นเดียวกัน ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านคำครหานินทาของผู้คนมาไม่น้อยเหมือนกัน ยิ่งนักพูดหลายคนที่ไม่ได้ทำงานเป็นนักบริหารในองค์กร ไม่มีเงินเดือนประจำที่แน่นอน ไม่ได้มีกิจการ หรือทำธุรกิจที่สามารถจ้างคนอื่นให้ทำงานแทนได้ แต่ต้องยังชีพด้วยการรับจ้างพูด รับจ้างบรรยาย รับจ้างเป็นวิทยากรฝึกอบรม สัมมนา และต้องลงมือทำด้วยตนเองเท่านั้น อย่างผมและอีกหลายท่านนั้น ถ้าไม่มีหัวใจรักในอาชีพจริงๆ แล้วละก็ คงจะเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นกันไปนานแล้ว บางเดือนก็มีคิวงานแน่นจนไม่มีวันหยุด จนแทบจะหายใจทางผิวหนัง บางเดือนก็แน่นเหมือนกัน คือแน่นหน้าอกไปหมด เพราะไม่ค่อยจะมีงานเลย นี่ถ้าขวัญกำลังใจไม่กล้าแข็ง ไม่ศรัทธาในวิชาชีพจริงๆล่ะก็ เห็นทีจะแขวนปาก เลิกพูด ถอนตัวจากยุทธภพ ล้างปากในอ่างทองคำ หันไปทำอย่างอื่น เช่นรับจ้างดำน้ำ งมหอยหลอด ขึ้นมะพร้าว ขุดหลุม ดายหญ้า ฯลฯ เสียตั้งนานแล้ว
นอกจากนี้ สิ่งที่นักพูดทุกคนจะต้องเผชิญก็คือ ความกดดันสารพัด อันเกิดจากความคาดหวังของผู้คน ในสายตาของคนทั่วไปที่ไม่ใช่นักพูดนั้น เขาเข้าใจว่าเมื่อได้ชื่อว่าเป็นนักพูดแล้วก็ต้องสามารถพูดได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสภาวะ ทุกสถานการณ์! ไม่ว่าเราจะโผล่ไปงานไหน ทั้งๆที่ไม่มีอยู่ในคิวงาน และไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า แต่ก็มักต้องถูกเชิญแบบกะทันหัน ถูกเชิญแบบสดๆ ให้ขึ้นไปพูดทุกที ครั้นเราอิดเอื้อน บ่ายเบี่ยง ก็ต่อว่าเราอีกว่า “แหม พอพูดไม่ได้ตังค์ละก็ไม่ยอมพูดเชียวนะ!” บางครั้งผมก็ต้องเอาสีข้างเข้าถูเพื่อเอาตัวรอด โดยการตอบกลับไปว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น สำหรับผมแล้วเรื่องเงินน่ะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพียงแต่มันเป็นเรื่องแรกที่ต้องตกลงกันก่อน เงินน่ะมันไม่ใช่พระเจ้าหรอก แต่มันคือพ่อของพระเจ้าเลย!” บางทีก็ต่อด้วยอีกประโยคหนึ่งที่ผมขโมยคำพูดมาจากอาจารย์สุขุมฯ ว่า “ที่พูดเนี่ยไม่ใช่ผมเป็นคนเห็นแก่เงินนะ เพียงแต่ถ้าไม่เห็นเงิน ผมก็ไม่เห็นแก่ใครทั้งนั้น!” เอาเป็นว่า ถ้าใครยังไม่รู้ ก็โปรดได้รับรู้ไว้ ณ ตรงนี้เลยนะครับว่า ความสุขสุดยอดอย่างหนึ่งของนักพูดก็คือการที่ไม่ต้องพูดนั่นเอง!
ผมเคยไปร่วมงานสัมมนา ในฐานะของผู้ฟัง ไม่ใช่ผู้พูด การสัมมนาผ่านไปครึ่งค่อนวัน โดยที่บรรยากาศของงานเป็นไปอย่างน่าเบื่อหน่าย อึดอัด เคร่งเครียด (ไม่ต้องบอก ก็คงพอจะเดาได้นะครับว่าใครมาเป็นวิทยากรนำสัมมนา ก็คนที่รู้ลึก รู้แจ้ง รู้จริงทุกเรื่องน่ะแหละครับ) ผู้ร่วมสัมมนาหลายคนลุกจากที่นั่ง เดินมาหาผม พร้อมกับกล่าวว่า “อาจารย์ช่วยขึ้นไปพูดอะไรคั่นเวลาสักสิบห้านาทีได้ไหมครับ เอาที่มันมันส์ๆ สนุกๆ เอาให้ฮากันท้องคัดท้องแข็งไปเลย เห็นไม๊ล่ะครับว่าทุกคนในห้องนี้เนี่ยกำลังเซ็ง กำลังเบื่อกันสุดขีดเลย อาจารย์ช่วยหน่อยนะครับ” ผมก็เลยตอบพวกเขาไปว่า “ผมก็เซ็ง และผมก็เบื่อเหมือนพวกคุณนั่นแหละ ทำไมพวกคุณถึงคิดว่าผมเป็นมนุษย์พันธุ์พิเศษที่ไม่มีสิทธิเบื่อ ไม่มีสิทธิ์เซ็งบ้างล่ะ คุณช่วยหาใครมาทำให้ผมหายเบื่อ หายเซ็งก่อนได้ไหม จากนั้นผมคงพอจะมีอารมณ์ทำให้พวกคุณหัวเราะกันได้บ้าง!” ผมพูดไปด้วยความไม่พอใจจริงๆครับ เห็นผมเป็นตัวอะไร เห็นผมไม่มีอารมณ์ความรู้สึก เหมือนผู้คนทั่วไปหรืออย่างไร ที่ถูกแล้ว พวกเขาต้องเดินไปบอกรองศาสตราจารย์ ด๊อกเตอร์อะไร ซึ่งทำหน้าที่วิทยากรนำสัมมนานั่น เขาต่างหากเป็นคนทำให้บรรยากาศในห้องสัมมนาเป็นแบบนี้ นี่เป็นผลงานของเขา ไม่ใช่เดินมาบอกผม
แม้จนถึงวินาทีนี้ ที่นักพูดแต่ละท่านต่างผ่านประสบการณ์อย่างโชกโชน และอย่างโชกเลือดมาแล้วก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเครื่องรับรองได้ว่าจะต้องประสบความสำเร็จในการพูดเสียทุกครั้งไป ทุกวันนี้ทุกท่านก็ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของผลลัพธ์สุดท้ายของการพูด ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะออกหัวหรือออกก้อย เพราะมันมีปัจจัยที่เกินการควบคุมอยู่หลายอย่างหลายประการที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
บางงานเขาจัดเป็นงานเลี้ยงรอบริมสระน้ำของโรงแรม แขกในงานนั่งกันกระจัดกระจายตามโต๊ะต่างๆ คนที่ยืนบนเวทีไม่สามารถมองเห็นคนข้างล่างได้เลย เพราะมีไฟสป็อตไล้ท์สาดส่องเข้าหาเวทีตลอดเวลา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราก็เพิ่งทราบตอนไปถึงหน้างาน แล้วจะทำอย่างไรล่ะทีนี้?
บางงานก็เป็นงานเลี้ยงรุ่น ซึ่งคนในงานต่างตั้งใจมาทำแค่สองเรื่อง คือมาคุย และมากิน ไม่ได้สนใจมาฟังใครพูดบนเวทีทั้งนั้น ถ้าเจอแบบนี้ เราจะทำอย่างไร?
งานสัมมนาบางงาน ก่อนเริ่มการบรรยาย ประธานที่ต้องทำพิธีเปิดการสัมมนา ท่านก็ถือโอกาสด่าพนักงานเป็นการนำร่องเสียเกือบหนึ่งชั่วโมง ผู้ฟังไม่อยู่ในอารมณ์จะฟังอะไรต่อจากนั้นทั้งนั้น มีแต่อารมณ์เคียดแค้นอยากจะฆ่าใครสักคนอยู่อย่างเดียวเลย เจอแบบนี้ แล้วเราจะทำอย่างไร?
บางงาน เรายืนเห่า ยืนหอน ยืนบรรยายทั้งวัน ตั้งหกเจ็ดชั่วโมง เสร็จงาน ถูกคนจัดเบี้ยวค่าตัวหน้าตาเฉย เช็คเด้ง ทวงยังไงก็ไม่ยอมจ่าย เล่นเอานักพูดใบ้แดกไปหลายวัน แบบนี้ ท่านว่าจะทำอย่างไรดี?
ยังมีอีกหลายงาน หลายสถานการณ์ ที่ชวนให้นักพูดอยากจะเป็นใบ้ขึ้นมากะทันหัน เพราะพูดไม่ออก ได้แต่กรอกหน้า
ใครที่คิดว่าการเป็นนักพูดนั้นง่าย เป็นงานสบาย แค่เดินแกว่งปากหาเท้า แกว่งเท้าหาเสี้ยนทั้งวันเท่านั้น เมื่อได้อ่านเพียงบางส่วนของเรื่องราวที่ได้เล่ามาทั้งหมดนี้ ท่านคงเข้าใจหัวอกนักพูดอย่างพวกผมมากขึ้นนะครับ
ท้ายที่สุดนี้ หากจะถามว่าพวกนักพูดเขามีคติเตือนใจอะไรไว้ประจำใจกันบ้าง สำหรับท่านอื่นผมไม่ทราบ แต่ของผมเองมีคติง่ายๆ ที่ต้องเตือนตัวเองทุกครั้งที่จะขึ้นพูดว่า..

“ถ้าปากเหม็น เรายังสามารถไปอมหยูกอมยา แต่ถ้าปากหมาละก็ อมตีนอย่างเดียวเลย!”

อย่าว่ากันนะครับ ที่ขึ้นต้นและลงท้าย มีแต่คำว่า “ตีน” กับ “ตีน” !!??



...
  
พูดอย่างเซียน
กระผม ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ ได้มีโอกาสซื้อหนังสือเรื่อง " พูดอย่างเซียน " ของ ท่านอาจารย์รัชเขต วีสเพ็ญ มาอ่านรู้สึกประทับใจอีกทั้งยังเคยติดต่อทางโทรศัพท์กับอาจารย์ซึ่งทางอาจารย์รัชเขต วีสเพ็ญ ก็เป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดีมาก ในโอกาสนี้จึงขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ ให้แก่ท่านผู้อ่าน หากท่านผู้อ่านได้มีโอกาสอ่านจะทำให้คุณพูดได้พูดเป็นและพูดอย่างเซียน หนังสือ พูดอย่างเซียน เป็นหนังสือที่ถ่ายทอดจากประสบการณ์ของนักพูดมืออาชีพ มีทั้งทฤษฎีและผู้เขียนได้เล่าประสบการณ์ที่ผ่านเวทีการพูดจริง รวมทั้งวิธีการทางการพูดต่างๆ พร้อมมุขฮาเพียบ สำหรับผู้ที่กำลังมองหาหนังสือเกี่ยวกับการพูดกระผมจึงขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ครับ

...
  
รวมวาทะ บุคคลสำคัญของโลก
"ถ้าคุณต้องการความสำเร็จมากขึ้นหนึ่งเท่าตัว จงเพิ่มความล้มเหลวเป็นสองเท่าตัว"
ที วัตสัน จูเนียร์ ผู้ก่อตั้งบริษัท IBM

"เราควรห่วงใยเกี่ยวกับอนาคต เพราะเราต้องใช้ชีวิตที่เหลือของเราในอนาคต"
ชาร์ลส์ เคดเดอริง วิศวกรไฟฟ้า ชาวอเมริกัน

"ถ้าเรามัวทะเลาะกันด้วยเรื่องเมื่อวานนี้ เราจะสูญเสียวันพรุ่งนี้"
เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษของประเทศอังกฤษ

"จงถนอมนาทีให้ดี แล้วชั่วโมงจะถนอมมันเอง"
จิมเบิร์ต คีธ เชสเดอร์ตัน นักเขียนชาวอังกฤษ

"ในชีวิตนั้น มีคำถามอยู่ 3 คำถามที่จำเป็นต้องถามกับตัวเองอยู่เสมอ ๆ นั่นคือ ดีหรือเลว? จริงหรือเท็จ? งามหรืออัปลักษณ์? และการศึกษาจำเป็นอย่างยิ่งที่จักต้องช่วยเราตอบคำถามเหล่านั้น"
จอนห์ ล็อบบอค นักคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ

"ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับสามัญชนก็เหมือนกับความสัมพันธ์ระหว่างน้ำกับเรือ ผู้ปกครองคือเรือ สามัญชนคือน้ำ น้ำสามารถทำให้เรือลอยได้ หรือมิเช่นนั้นก็สามารถทำให้เรือจมได้"
สินจื่อ นักปราชญ์จีน

"อย่ากลัวการต่อต้าน จงจำไว้ว่า ว่าวจะลอยสูงได้เมื่อทวนลม มิใช่ตามลม"
แฮมิลตัน มาบี นักเขียน ศิลปิน

"ทำไมในยามฝัน เราจึงเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจนยิ่งกว่าเมื่อนึกจินตนาการในยามตื่น"
ลีโอนาร์โด ดาวินชี นักประดิษฐ์ และจิตรกรชาวอิตาล

"ปรัชญาที่เขียนอยู่ในหนังสือเล่มยิ่งใหญ่ซึ่งวางอยู่เบื้องหน้าเราตลอดเวลา ---ข้าพเจ้าหมายถึงจักรวาล--- ทว่าเราจะไม่สามารถเข้าใจถ้าเราไม่เรียนภาษาเสียก่อนและจับความหมายสัญลักษณ์ที่ใช้เขียน"
กาลิเลโอ กาลิเลอี นักฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ชาวอิตาลี

"สิ่งที่สอนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยไม่ใช่การศึกษา แต่เป็นวิธีการศึกษา"
ราล์ฟ วัลโด เอเมอร์สัน นักเขียนและนักปรัชญาชาวอเมริกัน

"บ่อยครั้งที่จินตนาการ นำเราไปสู่โลกที่ไม่มีอยู่จริง แต่ถ้าปราศจากจินตนาการ เราก็จะไม่ได้ไปที่ไหนเลย"
คาร์ล ซาแกน นักดาราศาสตร์ ชาวอเมริกัน

"ประสบการณ์ คือ สิ่งที่คุณได้ เมื่อคุณไม่ได้สิ่งที่คุณต้องการ"
แดน สแตนฟอร์ต ผู้อำนวยการ McKnight Associates, Inc

"จะต้องมีอยู่เสมอที่คนต้องมองเข้าไปในความมืดเพื่อที่จะมองเห็น"
อแลน แม็กกลาเซน จิตแพทย์ชาวอังกฤษ

"ชีวิตที่ดี คือ ชีวิตที่ได้รับแรงบันดาลใจโดยความรัก และนำทางโดยความรู้"
เบอร์ทรันด์ รัทเชลส์ นักปรัชญา นักคณิตศาสตร์ ชาวอังกฤษ

"เรามีสองหู แต่มีลิ้นเพียงลิ้นเดียว เพื่อว่าเราจะได้ฟังมากหน่อย และพูดให้น้อยหน่อย"
ดิโอจิเนส นักปรัชญากรีกโบราณ

"จงใช้เวลาคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ แต่เมื่อเวลาปฏิบัติการมาถึง จงเลิกคิดและลงมือปฏิบัติอย่างเด็ดเดี่ยว"
นายพลแอนดรู แจ็คสัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 7

"ในพจนานุกรมของคนหนุ่มสาว ไม่มีคำว่า ล้มเหลว"
เอดวาร์ด บุลเวอร์ ลีตตัน รัฐบุรุษ และกวีชาวอังกฤษ

"สัตบุรุษมีความกังวล 3 อย่างคือ เมื่อไม่ได้รับรู้สิ่งที่ดี เขาจะรู้สึกกังวลจนกว่าจะได้รับรู้ เมื่อได้รับรู้แล้วเขาก็เริ่มกังวลว่าจะไม่ได้เรียนรู้ เมื่อได้เรียนรู้แล้ว เขาก็เริ่มกังวลว่าจะไม่สามารถปฏิบัติได้ตามที่ได้เรียนรู้มา"
คัมภีร์หลีจี้ หนังสือจรรยามารยาทของจีนโบราณ

"พระเจ้าทรงประทานอาหารให้นกทุกตัว แต่พระองค์ไม่ทรงประทานให้ถึงรัง"
เจ.จี. ฮอลแลนด์ นักเชียนชาวสหรัฐ

"ก่อนที่คุณจะพยายามปีนสู่จุดสูงสุดยอดของวิทยาศาสตร์คุณจะต้องเรียนจากพื้นฐานของมันก่อน "
อีวาน พาฟลอฟ นักชีววิทยา

"ศิลปะของความก้าวหน้าคือ รักษาระเบียบวินัยท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง และ รักษาความเปลี่ยนแปลงท่ามกลางระเบียบวินัย"
อัลเฟรด นอร์ธ ไวด์เฮด นักคณิตศาสตร์และนักปรัชญาชาวอังกฤษ

"ถ้าใครทำดีกับเราให้จำ แต่ถ้าเราทำดีกับใครให้ลืม"
เทียม โชควัฒนา อดีตประธานกลุ่มธุรกิจสหพัฒน์

"อันตรายอันแท้จริงมิใช่อยู่ที่ว่าคอมพิวเตอร์จะเริ่มคิดเหมือนมนุษย์ แต่อยู่ที่ว่ามนุษย์จะเริ่มคิดเหมือนคอมพิวเตอร์"
ซิดนีย์ เจ.แฮร์ริส นักหนังสือพิมพ์ชาวอังกฤษ

"ข้าพเจ้านำความฝันไปกับข้าพเจ้าด้วย แต่ความฝันของข้าพเจ้าจะไม่สูญหายไปจากมนุษยชาติ มันจะเป็นของท่านในวันที่โลกได้เรียนรู้มากพอที่จะได้รับประโยชน์จากมัน และฉลาดพอที่จะไม่ใช้มันไปในทางที่ผิด"
จูลส์ เวิร์น นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส "บิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์"

"เมื่อคุณก้าวผิดพลาด คุณอาจตั้งตัวใหม่ได้ในไม่ช้า แต่ถ้าคุณกล่าววาจาผิดพลาด คุณอาจต้องเสียใจตลอดชั่วชีวิต"
เบนจามิน แฟรงคลิน นักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา และ รัฐบุรุษของสหรัฐฯ

"ไม่มีวิทยาศาสตร์ที่ปราศจากความคิดฝัน และไม่มีศิลปะที่ปราศจากความจริง"
วลาดิเมีย นาโบคอฟ นักเขียนและนักวิจารณ์ชาวสหรัฐฯเชื้อสายรัสเซีย

"อย่ากลัวว่าชีวิตของท่านจะพบจุดจบ แต่จงกลัวว่าชีวิตท่านจะไม่มีโอกาสเริ่มต้น"
คาร์ดินัล นิวแมน พระราชาคณะนิกายโรมันคาทอลิกชาวอังกฤษ

"เราเลี้ยงชีวิตด้วยสิ่งที่เราหามาได้ แต่เราสร้างชีวิตด้วยสิ่งที่เราให้"
เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์ อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษของอังกฤษ

"ถ้าคนสองคนที่มีเงินคนละ 1 รูปี เมื่อนำเงินมาแลกกัน กลับบ้านเขาก็จะมีเงินคนละ 1 รูปี หากคนสองคนที่มีความรู้คนละเรื่อง และนำความรู้มาแลกกัน เมื่อกลับบ้านเขาทั้งสองจะมีความรู้คนละ 2 เรื่องกลับ"
นางอินทิรา คานธี อดีตนายกรัฐมนตรีอินเดีย

"ระหว่างผู้ที่มีความรู้มีการศึกษามากที่สุด กับผู้ที่มีความรู้ มีการศึกษาน้อยที่สุด มีความแตกต่างกันในระดับที่เล็กน้อยจนไม่อาจเอ่ยอ้างได้ เมื่อเทียบกับสิ่งต่าง ๆ ที่เรายังไม่รู้"
อัลเบิรต์ ไอนสไตน์ นักฟิสิกส์แห่งศตวรรษที่ 20

"เกียรติภูมิที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้อยู่ที่เราไม่เคยล้ม แต่อยู่ที่เราลุกขึ้นทุกครั้งที่เราล้มต่างหาก"
ขงจื้อ นักปรัชญาชาวจีน

"การเดินทางแม้ไกลหมื่นลี้ก็ต้องเริ่มต้นจากก้าวแรกเสมอ"
เล่าจื้อ นักปรัชญาชาวจีน

"สิ่งที่คุณเห็นคือความสำเร็จที่เป็นเพียง 1%ของชีวิตผม แต่สิ่งที่คุณไม่เห็นคืออีก 99% ที่เป็นความล้มเหลวของผม"
โชอิจิโร ฮอนด้า ประธานบริษัทฮอนด้า ประเทศญี่ปุ่น

"ผู้ชนะ คือ ผู้กำหนดเกม เมื่อสู้ด้วยแรงไม่ได้ ก็ต้องสู้ด้วยจินตนาการ"
แจ็ค เวลซ์ CEO. บริษัทจีอี ประเทศสหรัฐฯ

"แผนหนึ่งปี ไม่มีอะไรดีไปกว่าการปลูกธัญพืช แผนสิบปีไม่มีอะไรดีไปกว่าการปลูกต้นไม้ แผนตลอดชีวิตไม่มีอะไรดีไปกว่าการสร้างคน ปลูกหนึ่งครั้งเก็บเกี่ยวได้หนึ่งครั้งคือธัญพืช ปลูกหนึ่งครั้งเก็บเกี่ยวได้สิบครั้งคือต้นไม้ผล สร้างหนึ่งครั้งได้ผลประโยชน์ร้อยครั้งคือคน"
จากหนังสือ ก่วนจื่อ

"อุปสรรคคือสิ่งที่น่าตกใจ ก็ต่อเมื่อคุณไม่ได้มองที่จุดหมายปลายทาง เพราะการแสวงหา .. มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ ... มิใช่เพราะรอโอกาส เพราะสามารถ ... มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะแห่งตน "
ขงเบ้ง นักปราชญ์ชาวจีน

"การที่เราเรียนรู้จากสิ่งที่เราไม่รู้ เราไม่เพียงทำดีในการทำลายโลกเก่า แต่ยังทำดีในการสร้างโลกใหม่ด้วย"
เหมาเจ๋อตุง อดีตประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน

"ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ก็คือแมวที่ดี"
เติ้งเสี่ยวผิง อดีตประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน

"คนไม่ยอมใช้เหตุผลเป็นคนดังทุรัง คนไม่สามารถใช้เหตุผลเป็นคนโง่ และคนไม่กล้าใช้เหตุผลเป็นทาส"
เซอร์ วิลเลี่ยม ดรัมมอนด์ ผู้ว่าการนิคมของอังกฤษ


...
  
คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร)
(กล่าว ขอบคุณประชาชนและ ส.ส. หลังจากรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 ในการรับตำแหน่งนายกสมัยแรก)


เพื่อน ร่วมชาติที่เคารพรัก ผมรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไว้วางพระ ราชหฤทัย แต่งตั้งให้กระผมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผมขอขอบคุณพี่น้อง ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ที่ได้มอบความไว้วางใจให้กับผม ผมขอขอบคุณท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ได้กรุณาลงมติไว้วางใจผม ทำให้ผมได้มีโอกาสทดแทนบุญคุณแผ่นดิน และมีโอกาสที่ได้ใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ที่สะสมมาทั้งชีวิต นำความผาสุกสู่คนไทยทั้งประเทศ ผมขอย้ำว่านโยบายทุกนโยบายที่ได้ประกาศไว้แก่พี่น้องประชาชน จะนำมาปฏิบัติด้วยความรอบคอบ ประหยัด รวดเร็ว และรัดกุม

พี่น้อง ที่เคารพครับ การตัดสินใจทุก ๆ เรื่องที่จะเกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลผม ถึงแม้ว่าผมไม่สามารถตัดสินใจให้เป็นที่พอใจของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้ง 61 ล้านคนพร้อม ๆ กันในทุกเรื่อง แต่ทุกเรื่องจะตัดสินใจบนพื้นฐาน เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ และทุกเรื่องจะถูกตัดสินใจบนพื้นฐาน เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนมากกว่าเพื่อความอยู่รอดทางการเมือง 4 ปีข้างหน้าจะเป็น ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง และการปฏิรูปทุกรูปแบบเพื่อนำประเทศไทยให้หลุดพ้นจากวิกฤติ และวาง รากฐานสำหรับอนาคตของลูกหลานเรา ผมจะไม่ยอมทำหน้าที่เป็นเพียงผู้นำตามกฎหมายเท่านั้น ผมจะขอเป็นผู้นำที่นำแห่งการเปลี่ยนแปลงมาสู่ประเทศไทย เพื่อประเทศไทยที่ดีขึ้น พี่น้องที่เคารพครับ ผมจะขอทำหน้าที่เป็นรัฐบาลที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เป็นรัฐบาลที่จะทุ่มเททำด้วยความ ซื่อสัตย์สุจริต

ผมคนเดียวและ ลำพังแค่รัฐบาลคงไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้ พี่น้องครับ เราโชคดีครับ คนไทยทั้งชาติมีศูนย์รวมใจอยู่ที่พ่อหลวงของเรา ซึ่งมีพระนามว่า "ภูมิพล" ซึ่งหมายถึงพลังแผ่นดิน คงไม่มีพลังอะไรที่ยิ่งใหญ่ที่จะนำให้คนไทยและประเทศไทยหลุดพ้นจากวิกฤติ ครั้งนี้ และปูรากฐานไว้สำหรับลูกหลานในอนาคตได้ดีเท่ากับการใช้พลังแผ่นดิน ผมขอนำความสามัคคีกลับสู่คน ในชาติ เราคนไทยด้วยกัน เราจะไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายจนขาดความสามัคคี ขาดพลังในการที่จะฟื้นฟูชาติของเรา พี่น้องที่เคารพครับ ผมขอทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีที่จะนำรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทำงานหนักสำหรับความผาสุกของพี่น้องประชาชนคนไทย และผมจะทำหน้าที่ทุกวิถีทางเพื่อรักษาไว้เพื่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็นไทยตลอด ไป ขอขอบคุณครับ
.......................................
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  [98]  [99]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.