หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
มึงสู้จริงหรือเปล่า
มึงสู้จริงหรือเปล่า
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หากครั้งแรกคุณทำไม่สำเร็จก็ขอให้ พยายาม พยายาม และพยายาม ทำต่อไป.........
ความสำเร็จจะมีหรือไม่มี ก็ช่างหัวมัน แต่จง พยายาม พยายามและพยายาม ทำต่อไป......
ดิเอโก มาราโดนา นักแตะระดับโลก ซึ่งได้รับฉายาว่า “ หัตถ์พระเจ้า ” เล่นฟุตบอลตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อเขาต้องการเข้าสู่นักแตะอาชีพ เขาต้องทุ่มเทฝึกซ้อม ฝึกฝน การแตะบอลวันละไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมง เป็นเวลาเกือบ 10 ปี สุดท้ายเขาเป็นนักฟุตบอลระดับโลก
บิล เกตต์ เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย เพื่อมาทำในสิ่งที่เขารัก เขาต้องยุ่งอยู่กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เครื่องมือไฟฟ้า โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ เขาต้องทนทำงานเหล่านี้ภายในโรงเก็บรถเก่าๆของพ่อเขา เขาใช้เวลาวันละไม่น้อยกว่า 9 ชั่วโมง ทุกๆวัน สุดท้ายเขาคือเจ้าพ่อคอมพิวเตอร์ระดับโลก
เออเนสต์ เฮมิงเวย์ นักเขียนรางวัลโนเบล เขาต้องทุ่มเทและใช้เวลาเขียนหนังสือทุกๆวัน เขาแทบจะไม่ได้ออกจากบ้านเลยเป็นเวลาหลายๆปี อีกทั้งเขาต้องใช้เวลาอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือทุกๆวันอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง งานเขียนช่วงแรกๆ เขาถูกสำนักพิมพ์ปฏิเสธ สุดท้ายเขาคือผู้ชนะ โดยได้รับรางวัลระดับโลก
จิมมี เฮนดริกซ์ เขาได้รับยกย่องว่าเป็นนักกีตาร์มือดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง เขาต้องฝึกซ้อม ฝึกฝน การเล่นกีฬาของเขาตลอดเวลา ทุกๆวัน เป็นเวลาหลายปี โดยเขาต้องฝึกฝนไม่น้อยกว่า 9 ชั่วโมง ต่อวัน สุดท้าย เขาได้รับยกย่องในระดับโลก
คนที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นคนที่มีเป้าหมาย รู้ว่าตนเองชอบอะไร แล้วเดินทางไปสู่เป้าหมาย อย่างไม่ลดละความพยายาม ตรงกันข้าม เขาจะฝึกฝน ฝึกซ้อม อย่างหนัก แต่คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่มักจะโทษสิ่งต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่ง โทษดิน โทษฟ้า โทษอากาศ หรือ มีข้ออ้าง ข้อแก้ตัวต่างๆนาๆ เช่น ฉันมันไม่มีโอกาส ฉันไม่มีเงิน ฉันเป็นคนไม่มีชื่อเสียง ฉันมัน......ฯลฯ
ดังนั้น หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จ ท่านจำเป็นจะต้องรู้จักตนเองอย่างแท้จริง ว่าตนเองต้องการอะไร ตนเองอยากที่จะเป็นอะไร แล้วจึงฝึกฝน ฝึกซ้อมตนเอง ตามเป้าหมาย ตามความฝัน ทุกๆวันอย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 8 ชั่วโมงขึ้นไป และต้องฝึกฝน ฝึกซ้อมเป็นเวลาหลายๆปี ท่านจึงจะเป็นที่หนึ่งในวงการนั้นๆ

...
  
เป้าหมายกับการบริหารเวลา
เป้าหมายกับการบริหารเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนเรามีเวลาเท่ากัน แต่สิ่งที่น่าแปลก ก็คือว่า ทำไม คนบางคนถึงประสบความสำเร็จ แต่บางคน แทบทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลย เช่น
หลายคนที่เป็นชาวมุสลิม ประสบความสำเร็จในการอ่าน คัมภีร์ อัลกุรอาน ทั้งเล่มตั้งแต่ต้นจนจบ สามารถเข้าใจ จดจำ ได้ตั้งแต่เมื่ออายุยังน้อย
หลายคนที่เป็นชาวพุทธ ก็เช่นกัน สามารถอ่านพระไตรปิฎก โดยทราบเรื่องราวต่างๆทั้งเล่ม ตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี ก็สามารถจดจำ พระไตรปิฎก ได้
ทั้งนี้ เนื่องจากเขามีเป้าหมายและความตั้งใจจริง เมื่อเขามีความต้องการหรือความปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะอ่านให้จบ แล้วมีการวางแผนการอ่าน ว่าจะต้องอ่านให้จบภายในกี่ปี แล้วเขาก็จะวางแผนต่อว่า ภายใน 1 เดือน จะต้องอ่านให้ได้กี่หน้า ภายใน 1 วัน จะต้องอ่านกี่หน้า แล้วก็ลงมือปฏิบัติ อ่านทุกๆวันด้วยความสม่ำเสมอ จนกระทั่ง อ่าน คัมภีร์ อัลกุรอานและพระไตรปิฏก จบ
หลายคนไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตก็เนื่องจากไม่มีเป้าหมาย หลายคนเริ่มรู้จักคุณค่าของเวลาก็ต่อเมื่อ ตนเองเจ็บป่วยอย่างหนัก ใกล้ตาย เมื่อผ่านพ้นจุดนั้นมาได้ จึงเริ่มรู้จักคุณค่าของเวลาอย่างแท้จริง
ดังนั้น หากท่านต้องการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ท่านควรทราบเสียก่อนว่า ท่านมีความต้องการหรือความปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะเป็นอะไร ที่จะทำอะไร แล้วเริ่มวางแผน เริ่มลงมือปฏิบัติ แล้วท่านจะพบว่า เมื่อเวลาผ่านไป ท่านก็จะเดินทางเข้าใกล้เป้าหมายในทุกขณะ
แต่ทั้งนี้ คนที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ล้มเหลว จะแตกต่างกัน กล่าวคือ เมื่อเดินทางเข้าใกล้เป้าหมาย คนที่ประสบความสำเร็จ จะอดทน จะใจเย็น เพราะการเดินทางต้องใช้เวลานาน แต่ตรงกันข้าม คนที่ล้มเหลว ก็มักจะเลิกล้ม ไประหว่างทาง จึงทำให้เขาไปไม่ถึงเป้าหมาย
หลักการบริหารเวลา มีนักวิชาการได้แบ่งการใช้เวลาออกเป็น 8 8 8 กล่าวคือ 1 วันมี 24 ชั่วโมง เรามักใช้เวลา 8 ชั่วโมง สำหรับการนอน เราใช้เวลา 8 ชั่วโมง สำหรับทำงาน และ เราใช้เวลา 8 ชั่วโมง สำหรับทำธุระส่วนตัว ซึ่งเวลา 8 ชั่วโมงหลังนี้ เป็นการแบ่งแยกผู้ที่ประสบความสำเร็จกับคนธรรดา นั่นเอง
คนธรรมดา คนทั่วไป มักใช้เวลา 8 ชั่วโมงหลังนี้ ส่วนใหญ่มักเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมาย โดยใช้เวลาไปอย่างไม่มีคุณค่า เช่น เล่นไลน์นานเกินไป , เล่น Facebook นานเกินไป , เดินห้างสรรพสินค้านานเกินไป , พูดคุยกันนานเกินไป ฯลฯ ถ้าหากว่าท่านต้องการที่จะประสบความสำเร็จ เพียงแต่ขอให้ท่านลดเวลาพวกนี้ลงไปให้ได้วันละ 1 ชั่วโมง ภายใน 1 ปี ท่านจะมีเวลาเหลือมากถึง 365 ชั่วโมง เลยทีเดียว
แล้วท่านสามารถนำเอาเวลาที่เหลือ 365 ชั่วโมงนี้ ไปใช้กับการทำงานหรืองานอดิเรกที่ท่านต้องการทำ หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายหรือสิ่งที่ท่านต้องการในชีวิต ท่านก็จะไปถึงเป้าหมายได้อย่างเร็วยิ่งขึ้น เพราะกฏแห่งความสำเร็จ เขาบอกว่า ถ้าเราทำงานอย่างหนักและต่อเนื่อง งานที่เราทำก็จะง่ายลงไปเรื่อยๆ
จงจดจ่อที่เป้าหมาย อย่าจดจ่อที่อุปสรรค จงจดจ่ออย่างเข้มข้นกับความฝัน แล้วคุณจะใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

...
  
การเตรียมความพร้อมของบุคลากรสาธารณสุข
การเตรียมความพร้อมของบุคลากรสาธารณสุข
เพื่อรองรับประชาคมอาเซียน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ความเคลื่อนไหวของประชาคมสุขภาพอาเซียน สถานการณ์สุขภาพของไทย ปรากฏว่าอายุโดยเฉลี่ยของคนไทยเราเพิ่มสูงขึ้น ทั้งชายและหญิง เช่น ปี 2507 อายุชายไทยมีอายุเฉลี่ย 56 ปี หญิงมีอายุเฉลี่ย 62 ปี จนกระทั้งถึงปี 2553 ชายไทยมีอายุเฉลี่ย 70 ปี หญิงมีอายุเฉลี่ย 77 ปี (ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ 2554 )
สาเหตุการตายจำแนกสาเหตุสำคัญต่อประชาการ 100,000 คน(ที่มา:สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข,2553) ไทยเรามีอัตราเสียชีวิตจากโรคมะเร็งมาเป็นอันดับที่ 1 คือ ปี 2549 (83 คน ต่อประชากร 100,000 คน) ปี 2553 (91 คน ต่อประชากร 100,000 คน) อันดับที่ 2 คือ อุบัติเหตุ ปี 2549 (59 คนต่อประชากร 100,000 คน) ปี 2553 (51 คนต่อประชากร 100,000 คน) อันดับที่ 3 โรคหัวใจ ปี 2549 (28 คนต่อประชากร 100,000 คน) ปี 2553 (28 คนต่อประชากร 100,000 คน) อันดับที่ 4 คือ โรคความดันเลือดสูงและหลอดเลือดสมอง อันดับที่ 5 คือ โรคปอดอักเสบและโรคปอดอื่นๆ อันดับที่ 6 คือโรคไตอักเสบ อันดับที่ 7 โรคเกี่ยวกับตับ อันดับที่ 8 โรคเบาหวาน อันดับที่ 9 โรคบาดเจ็บจากการฆ่าตัวตาย อันดับที่10 โรควัณโรค อันดับที่ 11 โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องจากไวรัส(เอดส์) เป็นต้น
ปริมาณการบริโภคน้ำอัดลมต่อคนของคนไทยสูงที่สุดในอาเซียน(ที่มา BMI ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปี 2554 )ไทยเราบริโภคสูงที่สุดในอาเซียนในอัตรา 41.30 หน่วย:ลิตร/คน/ปี , ฟิลิปปินส์ ในอัตรา 31.30 หน่วย:ลิตร/คน/ปี , สิงคโปร์ ในอัตรา 26.55 หน่วย:ลิตร/คน/ปี ,มาเลเซีย ในอัตรา 17.05 หน่วย:ลิตร/คน/ปี,เวียดนาม ในอัตรา 5.31 หน่วย:ลิตร/คน/ปี และอินโดนีเซีย ในอัตรา 3.13 หน่วย:ลิตร/คน/ปี เป็นต้น
ผลกระทบจากแรงงานข้ามชาติ ปี 2553(ข้อมูลจากสำมะโนประชากรและการเคหะ) ประชากรที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย มีประมาณ 2.7 ล้านคน (ซึ่งเท่ากับ 4.1 ของประชากรทั่วประเทศ) มากกว่าครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในกรุงเทพและภาคกลาง และร้อยละ 90 เป็นแรงงานต่างชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน และมีการประเมินอีกว่า มีแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาผิดกฎหมายอีก 1 ล้านคน (รวมแรงงานต่างชาติโดยประมาณ 3 ล้านคน)
สำหรับผู้ป่วยชาวต่างประเทศที่เข้ามารักษาในประเทศไทยมีมากขึ้น จึงทำให้รายได้ในส่วนนี้เพิ่มมากขึ้นทุกๆปี
สาธารณสุข กับ อาเซียน เมื่อมีการเปิดประเทศมากขึ้น ประชากรในอาเซียนและทั่วโลก สามารถเข้าออกกันง่ายขึ้น จึงทำให้เกิดปัญหาทางด้านสาธารณสุขตามมาอย่างมากมาย เช่น นักท่องเที่ยว แรงงานต่างด้าว จะนำพาโรคภัยต่างๆเข้ามามากขึ้น การค้าขายสัตว์ พืช อาหารต่างๆ จะนำพาเชื้อโรคหรือพาหะนำโรคเข้ามามากขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่เป็นภัยต่อสุขภาพ(เหล้า บุหรี่ ยาเสพติด สารเคมีอันตราย)จะเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้น ประชาชนต้องเผชิญกับโรคภัยต่างๆ (โรคระบาด โรคอุบัติเหตุใหม่ โรคติดต่อทั้งเรื้อรังและไม่เรื้อรัง)
การเปลี่ยนแปลงในด้านสาธารณสุขเมื่อเปิดอาเซียน คือ การลงทุนเสรีจะมากขึ้น จะตั้งโรงเรียน โรงพยาบาลจะง่ายขึ้น , ไทยมีโอกาสในการเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยว การบิน การสัมมนา การแสดง การบริการทางด้านการแพทย์ ปัญหาทางด้านแรงงานจะไม่ขาดแคลนเพราะแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานมากขึ้น ปัญหาการขาดแคลนสาธารณูปโภคและบริการพื้นฐาน เกิดปัญหาอาชญากรรมและปัญหาสังคมสูงขึ้น
การเตรียมความพร้อมของบุคลากรสาธารณสุข จึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนเพื่อให้การเปิดประชาคมอาเซียน 31 ธันวาคม 2558
จากปัญหาและการเปลี่ยนแปลงข้างต้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือ การเตรียมความพร้อม ต้องคิดในแง่ดีว่า อาเซียนคือโอกาสและสิ่งที่ท้าทาย จะทำให้เราเกิดการพัฒนาตนเองเพื่อให้ต่อสู้กับการแข่งขัน
การเตรียมความพร้อมกำลังคนด้านสาธารณสุข ต้องมีการเร่งผลิตบุคลากรสาธารณสุขให้เพียงพอ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ พยาบาลเทคนิค อสม. เป็นต้น อีกทั้งต้องมีการสร้างเสริมสมรรถนะภาพด้านภาษาอังกฤษ เทคโนโลยี ไปพร้อมๆกัน
สำหรับแนวโน้มในอนาคตหากมีการเปิดประชาคมอาเซียน ก็จะมีแพทย์ พยาบาล อยากที่จะมาเปิดคลินิคหรือสถาพยาบาลในประเทศไทยมากขึ้น อีกทั้งหากมีการเปิดเขาก็คงเลือกเปิดในเมืองหลวง เขาคงไม่เลือกเปิดในชนบท เช่นเปิดที่ถนนสีลม ถนนสาธร ถนนสุขุมวิท ซึ่งจะเน้นลูกค้าชาติต่างประเทศ เพราะสามารถหารายได้ได้มากกว่านั้นเอง
การเตรียมความพร้อมในด้านระบบบริการด้านสุขภาพ ต้องมีการปรับปรุงประสิทธิภาพ คุณภาพในการทำงาน ให้ได้มาตรฐานที่สูงขึ้น , มีแผนงานบริการชาวต่างชาติ แรงงานต่างชาติ นักท่องเที่ยว และมีกลยุทธ์ต่างๆที่ดึงดูดการใช้บริการ
การเตรียมพร้อมทางด้านตัวบุคคล คนทำงานสาธารณสุขต้องทำความเข้าใจประชาคมอาเซียน เปิดรับวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกในอาเซียน และปรับตัวในเรื่องของการสื่อสารทั้งการฟัง การพูด การอ่านและการเขียน โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ และที่สำคัญต้องไม่มีการหยุดพักในการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
การเตรียมพร้อมระดับองค์กร หน่วยงานสาธารณสุขต้องสร้างพันธมิตร ร่วมมือภายในและภายนอกอาเซียน มีการยกระดับหลักประกันสุขภาพให้สูงขึ้น องค์กรต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง ยกระดับหน่วยงานราชการให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ดังประเทศสิงคโปร์ ระบบราชการมีประสิทธิภาพอย่างมากในการทำงาน
ท้ายนี้อยากฝาก คำพูดของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก องค์พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย
“ True success exists not in learning, but in its application to the benefit of mankind”
หรือ “ความสำเร็จที่แท้จริงมิได้อยู่ที่การเรียนรู้ หากแต่อยู่ที่การนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อคุณประโยชน์แก่มนุษยชาติ”


...
  
การสร้างวินัยและงดผลัดวันประกันพรุ่ง
การสร้างวินัยและงดผลัดวันประกันพรุ่ง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนในยุคปัจจุบันนี้ มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากกว่าคนในยุคก่อน จึงทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปด้วยความสะดวกสบาย การเลี้ยงลูก การเลี้ยงหลานของคนในยุคนี้ ผู้ปกครองก็ไม่อยากให้ลูกหลานต้องลำบาก เลยเลี้ยงแบบสบายๆ ไม่มีการบังคับ จึงทำให้เด็กๆในยุคนี้ขาดความอดทน อีกทั้งไม่มีการสร้างวินัยให้แก่เด็กๆ ทำให้ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือ เด็กๆจะผลัดวันประกันพรุ่ง ในการทำสิ่งต่างๆ ขาดความกระตือรือร้นในการทำงานหรือการทำกิจกรรม
การขาดวินัยและการผลัดวันประกันพรุ่งนี้นี่เอง ที่ทำให้เรามีการบริหารเวลาได้ไม่ดี ลองนึกดูว่า ในการทำงาน เจ้านายเขาให้ส่งรายงานในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2558 แต่ถ้าเราไม่มีวินัยเพียงพอ เราก็จะทำรายงานไม่เสร็จ สาเหตุหนึ่งก็เนื่องมาจากว่าเราผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ
การสร้างวินัยจึงมีผลต่อการบริหารเวลา การสร้างวินัยจะทำให้การผลัดวันประกันพรุ่งลดน้อยลง ฉะนั้น การมีวินัยจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากที่จะทำให้คนประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงาน
แล้วคนที่มีวินัย คือคนอย่างไร คนที่มีวินัย มักเป็นคนที่ออกระเบียบ กฏเกณฑ์ ข้อบังคับ เพื่อที่จะมาใช้ควบคุมพฤติกรรมของตนเอง ซึ่งในการทำงานบางอย่าง เป็นงานยาก เป็นงานที่ไม่อยากที่จะทำ แต่คนที่มีวินัย เขาก็จะฝืนความรู้สึกของตนเอง แล้วพยายามทำตามระเบียบ กฏเกณฑ์ ที่เขาได้วางหรือกำหนดไว้ เขาจึงประสบความสำเร็จในงานที่ทำ
ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่มีวินัย เขาก็จะเลื่อนเวลาออกไปเรื่อยๆ ยิ่งเจองานยากก็ยิ่งไม่อยากทำ มีข้ออ้างต่างๆที่จะไม่ทำ เพื่อที่จะนำเอางานนั้นไปทำในวันพรุ่งนี้ พอวันพรุ่งนี้ก็ไม่ทำอีก ก็บอกว่าจะเก็บเอาไว้ทำในวันมะรืนนี้ พอถึงวันมะรืนนี้ก็ไม่ทำอีก ก็จะบอกว่า จะเอาเก็บเอาไว้ทำในวันมะเรื่องนี้ จึงทำให้งานนั้นไม่เสร็จตามที่ได้กำหนดเอาไว้
ฉะนั้น คนที่ประสบความสำเร็จจะเป็นคนที่มีความสามารถในการสร้างวินัยขึ้นในตนเอง ซึ่งทำให้เขาไม่เป็นคนผลัดวันประกันพรุ่ง การสร้างวินัยอาจจะต้องแลกกับบางสิ่งบางอย่าง เช่น เราต้องการลดน้ำหนักให้ได้ 5 กิโลกรัมภายใน 1 เดือน เราก็ต้องยอมที่จะอดทานอาหารที่เราชอบทาน เราก็ต้องเสียเวลาส่วนหนึ่งไปกับการออกกำลังกาย ทุกๆวัน
คน 2 คน ต้องการลดน้ำหนักให้ได้ 5 กิโลกรัมภายใน 1 เดือน คนหนึ่งมีวินัย ยอมที่จะอดทานของหวาน ของทอด และลดอาหาร 1 มื้อพร้อมกับวิ่งในตอนเย็นๆ วันละ 30 นาที ทุกๆวัน กับอีกคนหนึ่งไม่มีวินัย อีกทั้งเป็นคนพลัดวันประกันพรุ่ง ไม่ยอมที่จะงดของหวาน ของทอด พอเห็นแล้วอดไม่ได้ก็มักจะบอกกับตัวเองว่า เอาไว้งดทานในวันพรุ่งนี้ เป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป อีกทั้งไม่มีความสม่ำเสมอในการออกกำลังกาย ถามว่าคน 2 คนนี้ ใครจะสามารถลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ผมไม่ต้องตอบครับ ท่านผู้อ่านก็คงทราบคำตอบดี ฉะนั้น ถ้าท่านต้องการสร้างวินัยขึ้นในตนเอง ท่านก็ต้องเสียสละบางสิ่งบางอย่าง ท่านจะต้องมีความอดทน ท่านจะต้องมีความสม่ำเสมอและท่านจะต้องมีความเพียรพยายามในการทำสิ่งนั้น

...
  
นักพูดที่ดีต้องรู้จักวิเคราะห์ภาษากายของผู้ฟัง
นักพูดที่ดีต้องรู้จักวิเคราะห์ภาษากายของผู้ฟัง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
นักพูดที่ดีต้องรู้จักวิเคราะห์ภาษากายของผู้ฟัง หากว่าเราเป็นนักพูด นักบรรยาย วิทยากร เราสามารถวิเคราะห์ผู้ฟังได้จากภาษากาย ว่าผู้ฟังมีความตั้งใจฟังเรา สนใจฟังเรา หรือ มีความเบื่อหน่าย ไม่อยากที่จะฟังเรา ซึ่งเราสามารถวิเคราะห์ภาษากายของผู้ฟังได้จาก ใบหน้า ท่าทาง ความสนใจของผู้ฟัง การนั่ง ความเคลื่อนไหวต่างๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้
นั่งกอดอก แสดงถึงการป้องกันตัวเอง เริ่มไม่ไว้วางใจ ความไม่สนใจในเรื่องที่พูด ความไม่ใส่ใจ การต้องการวางอำนาจเหนือผู้พูด และไม่ยอมเปิดใจที่จะรับฟัง
นั่งเอามือเท้าคาง เป็นลักษณะของคนกำลังใช้ความคิด หากเท้าคางแล้วเอนตัวมาข้างหน้า แสดงว่ากำลังสนใจกับเรื่องที่ผู้พูดพูด แต่ถ้าหากเท้าคางแล้วเอนตัวไปข้างหลัง แสดงว่า ไม่สนใจในเรื่องที่ผู้พูดพูด
นั่งขาถ่างหรือชอบนั่งอ้าขา แสดงถึงความเปิดเผย เป็นมิตร เป็นกันเอง เป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ กล้าแสดงออก
นั่งไขว่ห้าง แสดงถึงการป้องกัน ไม่เปิดใจที่จะรับฟัง เป็นคนมั่นใจในตนเอง
นั่งตัวตรง แสดงถึงเป็นคนกล้าพูดกล้าทำ กล้าแสดงออก มีความเป็นผู้นำ มีพลัง มีความกระตือรือร้น มีความรับผิดชอบสูง
นั่งจับจมูกบ่อยๆ แสดงถึงความไม่มั่นใจ ครุ่นคิด สับสน ต้องการใช้เวลาตัดสินใจ
นั่งพนักหน้าตอบรับเป็นระยะๆ แสดงความเป็นกันเอง รู้สึกมีความเห็นด้วยกับผู้พูด เป็นมิตร กำลังเชื่อในเรื่องที่ผู้พูดได้พูด
นั่งเอามือวางไว้ที่บนตัก แสดงถึงว่าเป็นคนที่มีความสุภาพ อ่อนโยน รู้สึกเจียมตัว มีความเรียบร้อย
นั่งเอามือซุกกระเป๋า แสดงถึงว่าไม่ต้องการฟัง รู้สึกอึดอัดใจ
นั่งแล้วเอามือเกาศีรษะบ่อยๆ แสดงถึงอาการสงสัย ไม่เข้าใจในเรื่องที่ฟัง
นั่งกระดิกขา แสดงถึงอาการผ่อนคลาย เปิดเผย รู้สึกสบายๆ ไม่กระตือรือร้น
นั่งก้มหน้า แสดงถึง การซ่อนหรือเก็บความรู้สึกบางอย่าง ไม่อยากเปิดเผย ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง รู้สึกประหม่า รู้สึกกลัว รู้สึกอาย
นั่งฟังแต่ไม่กล้าสบสายตา แสดงถึงการทำผิด ประหม่า ไม่มีความมั่นใจในตนเอง มีพิรุธ
นั่งหลังงอไหล่ห่อ เป็นคนที่สบายๆ ไม่ชอบเรื่องมาก ไม่ค่อยเครียด
แต่อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ภาษากายหรืออ่านใจผู้ฟัง ควรใช้วิจารณญาณ สัญชาติญาณ สถานการณ์ อารมณ์ ความรู้สึก ของผู้ฟัง ประกอบด้วย รวมไปถึงเรื่องความแตกต่างของเชื้อชาติ วัฒนธรรม ภาษา ซึ่งเหล่านี้ก็อาจทำให้เกิดความแตกต่างกันในการวิเคราะห์และอาจจะไม่มีความถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์






...
  
ทำอย่างไรถึงจะฉลาดขึ้นอีก
ทำอย่างไรถึงจะฉลาดขึ้นอีก
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หลายคนที่มีความเชื่อในทางศาสนา อาจเชื่อว่า คนเราเกิดมามีความฉลาดแตกต่างกัน เนื่องมาจากได้ทำ ได้สะสมมาแต่ในชาติปางก่อนหรือในทางวิทยาศาสตร์ คนเราฉลาดหรือโง่หรือมี ไอคิวที่แตกต่างกันเนื่องมาจากการทอดถ่ายทางพันธุกรรม โดยส่วนตัวกระผมก็มีความเชื่อเหมือนกับคนส่วนใหญ่ แต่ทั้งนี้ คนเราสามารถฉลาดขึ้นได้อีก ก็โดยการพัฒนานิสัยดังต่อไปนี้
1.พยายามสังเกตุ และรู้จักตั้งคำถามต่างๆ เช่น ทำไม ทำไม ทำไม เมื่อท่านเกิดความสงสัย แล้วท่านพยายามสังเกตุ แล้วพยายามค้นหาคำตอบ เมื่อท่านค้นหาคำตอบ และท่านได้รับคำตอบ จากคำถามที่มีมาอย่างมากมาย ท่านก็จะเป็นคนที่ฉลาดขึ้น
2.พยายามอ่านหนังสือให้มากๆ โดยเฉพาะการอ่านหนังสือพิมพ์ เพราะการอ่านหนังสือพิมพ์จะทำให้เราทันโลก ทันเหตุการณ์ ความเคลื่อนไหวของโลก หรือ ความเคลื่อนไหวต่างๆของประเทศของเราและประเทศเพื่อนบ้าน
3.พยายามสร้างความแตกต่างหรือหาไอเดียที่แตกต่างกับคนอื่นๆ โลกเราเจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ก็ด้วยความคิดที่แตกต่างจากคนอื่นๆ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ พวกเราจะไม่มีวันได้เห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้เลย ถ้าทุกๆคนคิดเหมือนกัน แต่เมื่อมีคนคิดต่างหรือมีไอเดียใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้น
4.พยายามหาตัวอย่างมากๆหรือหาแบบอย่างมากๆ คนเราสามารถมีกำลังใจในการทำงานที่มากขึ้น มีความอดทนขึ้น มีความพยายามขึ้น ก็เนื่องมาจาก หลายคนได้หาบุคคลตัวอย่างหรือหาแบบอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จ เมื่อได้อ่านหรือดูตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว เขาก็จะเกิดกำลังใจในการทำงาน เกิดกำลังความคิดในการทำงาน
5.พยายามเอาชนะอุปสรรคต่างๆ แน่นอนในการทำงาน เราต้องเกิดปัญหา เกิดอุปสรรค เกิดความกลัว เกิดความกังวลใจ เกิดความเหนื่อยขึ้น แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จและมีความฉลาด มักจะผ่านพ้นสิ่งต่างๆเหล่านี้มาอย่างมากมาย
6.พยายามเข้าหาบุคคลหรือสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้ตนเองประสบความสำเร็จ มีนักวิชาการกล่าวไว้ว่า อนาคตของท่านจะเป็นอย่างไร ขอให้ดูบุคคลที่ท่านคบค้าสมาคมอย่างสนิทสนมกันเพียงแค่ 5 คน กล่าวคือบุคคลที่สนิทสนมกับท่านก็จะมีนิสัย ใจคอ คล้ายคลึงกับท่าน ฉะนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จในเรื่องใดๆ ท่านจะต้องเข้าหาบุคคลและเข้าหาสิ่งแวดล้อมนั้นๆ แล้วท่านจะประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
7.พยายามให้คนอื่นๆมากๆ โดยเฉพาะความรู้ ความรู้ไม่เหมือนกับเงินทอง กล่าวคือ เงินทอง เมื่อท่านหามาได้แล้วใช้มากๆ มันก็มีวันที่จะหมด แต่ความรู้ของคนเรา เมื่อท่านหามาได้แล้วยิ่งใช้มากๆ ยิ่งพยายามให้คนอื่นๆมาก พยายามแบ่งปันคนอื่นๆมากๆ ท่านก็จะมีความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น มีความฉลาดมากขึ้น
8.พยายามเขียนบันทึก การเขียนบันทึกมีข้อดีหลายๆอย่าง เช่น เมื่อท่านได้รับความรู้เรื่องใดๆ ถ้าท่านไม่พยายามเขียน ไม่พยายามบันทึก ความรู้นั้นๆ สักวันหนึ่งท่านก็จะลืมมันไป การเขียนบันทึกยังทำให้เรา เกิดความคิดที่มีเพิ่มเติมมากขึ้น และยังเกิดความคิดที่ทบทวน เกิดความคิดในการวิเคราะห์สิ่งต่างๆมากยิ่งขึ้น
9.พยายามค้นหาตัวเอง คนที่ฉลาดหรือมีความอัจฉริยะในตัวเอง มักเป็นคนที่รู้จักตนเอง เขาจะรู้ว่า เขามีความชอบอะไร รักอะไร ทำสิ่งไหนแล้วมีความสุข บุคคลที่รู้จักตนเอง จะเลือกทำในสิ่งที่ตนเองรัก เมื่อเขารู้ว่าเขาต้องการอะไร มีเป้าหมายอะไร เขาก็จะทำให้สิ่งนั้นได้อย่างยาวนาน เขาจะมีความอดทนต่อสิ่งต่างๆ เช่น คนประสบความสำเร็จบางคน รู้จักตัวเองว่า เขามีความสามารถในการพูด ในการบรรยาย เขาก็จะอดทน ฝึกฝน การพูด การบรรยายของเขา อย่างหนัก จนในที่สุดเขาก็เป็นบุคคลหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในวงการพูด ในวงการบรรยาย

...
  
เห็นไมค์แล้วไข้ขึ้น
เห็นไมค์แล้วไข้ขึ้น
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
อาการแบบนี้ มักเกิดขึ้น กับผู้พูดหลายๆคน ที่มีอาการกลัว อาการประหม่า เมื่อถูกเชิญให้ขึ้นไปพูดต่อหน้าที่ชุมชน หลายๆคน เมื่อรู้ว่าในวันพรุ่งนี้ จะต้องถูกเชิญให้ไปพูดต่อหน้าที่ชุมชน บางคนนอนไม่หลับ บางคนเป็นไข้ ไม่สบาย เกิดอาการเครียด ตื่นเต้น คิดมาก วิตกกังวล ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนโดยทั่วไป ที่ไม่ได้มีการฝึกฝนการพูดต่อหน้าที่ชุมชน ฉะนั้น เราสามารถแก้อาการเหล่านี้ได้ดังนี้
1.ต้องทำจนชิน หลายๆคนเกิดอาการประหม่า วิตกจริต เมื่อต้องขึ้นไปพูดต่อหน้าที่ชุมชน สาเหตุหนึ่ง เกิดจากการไม่ชินเวที ฉะนั้น หากต้องการให้เกิดการชินเวที เราคงหนีไม่พ้นที่จะต้อง ขึ้นไปพูดบนเวทีบ่อยๆ เมื่อท่านชิน เรื่องท่านคุ้นเคยกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชนแล้ว อาการเหล่านี้ก็จะลดน้อยลง
2.ต้องเตรียมตัวก่อนทุกครั้ง หลายๆคน ไม่มีความมั่นใจในตนเอง สาเหตุหนึ่งเพราะไม่รู้ว่าจะขึ้นไปพูดเรื่องอะไร ฉะนั้น ต้องมีการเตรียมตัวโดยการเขียนสคิปหรือบทพูดก่อน ว่า เราจะพูดอะไรบ้าง อะไรก่อน อะไรหลัง จะมีคำคม สุภาษิต อารมณ์ขัน สอดแทรกไว้ที่ใดได้บ้าง จึงจะเหมาะสมกับเรื่องที่พูด
3.ต้องซ้อมพูดบ่อยๆ หลายคนเมื่อเตรียมสคิปหรือบทพูดแล้ว แต่ไม่ยอมฝึกซ้อมการพูด จึงทำให้ตอนไปพูดบนเวทีจริงๆ เกิดอาการพูดที่ติดๆขัดๆ ฉะนั้น เมื่อเตรียมสคิปหรือบทพูดแล้ว ก็ควรซ้อมพูดหลายๆครั้ง เพื่อให้เกิดการจำ เพื่อให้เกิดการพูดคล่อง และเพื่อให้เกิดการเชื่อมั่นในตนเอง
4.ต้องให้กำลังใจตนเองและปลุกปลอบใจตนเอง ต้องหมั่นพูดกับตัวเอง ว่า “ ฉันทำได้” ,“สู้ตาย” ,“ฉันเชื่อมั่น” , “ฉันเก่งที่สุด” ฉะนั้น การให้กำลังใจตนเองและการปลุกปลอบใจตนเอง จะทำให้เราเกิดความกล้า เกิดความมั่นใจในตนเอง ซึ่งคำพูดที่จะช่วยให้กำลังใจตนเองและปลุกปลอบใจตนเองของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน จงหาคำพูดที่ทำให้ตนเองมีพลัง ความกล้า ความเชื่อมั่น สำหรับคำพูดของกระผมก่อนขึ้นพูดต่อหน้าที่ชุมชนทุกครั้ง ผมจะพูดกับตัวเองในใจหรือพูดเบาๆกับตัวเองว่า “ ใครเต็มที่ไม่เต็มที่ไม่รู้ แต่เราเต็มที่ไว้ก่อน”
5.ต้องเปลี่ยนทัศนคติให้ชอบการพูดต่อหน้าที่ชุมชน หลายๆคนไม่อยากขึ้นพูดต่อหน้าที่ชุมชน เพราะไม่ชอบ เขาจึงพยายามหลีกหนีหรือหลีกเลี่ยง การที่จะได้ขึ้นไปพูดต่อหน้าที่ชุมชน ฉะนั้น หากท่านต้องการที่จะพูดต่อหน้าที่ชุมชนให้ได้ดี ท่านจะต้องเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ จากการที่ไม่ชอบการพูดต่อหน้าที่ชุมชน ให้เปลี่ยนมาเป็นความชอบ โดยท่านต้องพยายามนึกถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการพูดต่อหน้าที่ชุมชน เช่น เมื่อท่านพูดเก่ง พูดดี ท่านจะได้รับตำแหน่ง ท่านจะได้รับชื่อเสียง ท่านจะได้รับการยกย่อง และท่านจะได้รับเงินทองอีกมากมาย เป็นต้น
6.ต้องมีความอดทน ฝึกฝน ตัวเองตลอดเวลา ในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ เรามักจะพูดผิดพูดถูก พูดแล้วคนไม่อยากที่จะฟัง ท่านก็ไม่ควรที่จะท้อแท้ ท้อถอย ขอให้ฝีกไป เรียนไป อย่างสม่ำเสมอ หลายๆคนเมื่อพูดไปแล้ว ไม่ประสบความสำเร็จในช่วงแรกๆ ก็ท้อแท้ใจ ไม่อยากที่จะขึ้นพูดต่อหน้าที่ชุมชนและหลายๆคนปฏิเสธการพูดต่อหน้าที่ชุมชนไปเลยก็มี กล่าวคือ เมื่อถูกเชิญให้พูดก็จะขอร้องว่า “กระผมไม่ขอพูดได้ไหม” ฉะนั้น หากท่านต้องการที่จะประสบความสำเร็จในการพูด หากท่านต้องการลดอาการประหม่า ท่านจะต้องมีความอดทน ท่านจะต้องหมั่นฝึกฝน แล้วสักวันหนึ่ง อาการประหม่า อาการตื่นเต้น ก็จะลดน้อยลงไปและถ้าหากท่านยิ่งฝึกฝนมากเท่าไร อนาคตอันใกล้ ท่านจะได้เป็นนักพูดที่พูดไปแล้วผู้ฟังอยากที่จะฟังการพูดของท่านอย่างแน่นอน
ทั้ง 6 วิธีการ ดังกล่าวข้างต้นนี้จะทำให้ท่านลดอาการประหม่า ลดอาการวิตกกังวล และทำให้ท่านเกิดความเชื่อมั่นหรือมั่นใจในตนเองยิ่งขึ้น ฉะนั้น หากว่าท่านเกิดความกลัวที่จะขึ้นพูดต่อหน้าที่ชุมชน กระผมขอแนะนำวิธีแก้ไขความกลัว ซึ่งเป็นเทคนิคที่กระผมใช้อยู่ คือ หากท่านกลัวสิ่งไหน จงเข้าหาสิ่งนั้น
เช่น หากว่าท่านกลัวการขี่ม้า กลัวตกม้า กระผมขอให้ท่านขึ้นไปขี่มัน เช่นกัน หากว่าท่านเกิดความกลัวที่จะขึ้นไปพูดต่อหน้าที่ชุมชน กระผมขอให้ท่านเดินขึ้นไปพูด แล้ว ความกลัวของท่านก็จะลดน้อยลงไปในที่สุด
...
  
จริยธรรม คุณธรรม ความรับผิดชอบ
บุคคล: คุณธรรม จริยธรรม เสรีภาพกับความรับผิดชอบ

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก

www.drsuthichai.com

บุคคล : ตาม กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15 กล่าวไว้ว่า

มาตรา 15 สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็น ทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย

คุณธรรม หมายถึง ตามพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตสถาน ( 2530 : 190 ) ได้ให้ความหมายของ คุณธรรมว่า คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงามความดีหรือหน้าที่อันพึงมีอยู่ในตัว

จริยธรรม หมายถึง การแยกสิ่งถูกจากผิด ดีจากเลว มาจากคำ 2 คำคือ จริย กับธรรม ซึ่งแปลตามศัพท์ คือ จริยะ แปลว่า ความประพฤติ กิริยาที่ควรประพฤติ คำว่า ธรรม แปลว่า คุณความดี

จริยธรรม ตามพจนานุกรมในภาษาไทย จริยธรรม หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อประพฤติ ศีลธรรมอันดี

เสรีภาพ ตามพจนานุกรม หมายถึง อำนาจทำอะไรได้ตามใจ, ความเป็นอิสระแก่ตัว

ความรับผิดชอบ ตามพจนานุกรม หมายถึง ยอมรับผลทั้งที่ดีและไม่ดีในกิจการที่ตนได้ทำลงไปหรือที่อยู่ในความดูแลของตน เช่น สมุห์บัญชีรับผิดชอบเรื่องเกี่ยวกับการเงินรับเป็นภารธุระ

คำ 5 คำข้างต้นนี้ มีความเกี่ยวพันกันอย่างมาก ในการดำรงชีวิตในโลกยุคปัจจุบัน เนื่องจากโลกยุคนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการติดต่อสื่อสาร ความขัดแย้ง ปัญหาสังคม ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง

คุณธรรม จริยธรรม บุคคลที่จะดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข มีความสงบ ควรคำนึงถึงเรื่องนี้ เพราะหากว่า บุคคลใด ดำรงชีวิตอย่างมีคุณธรรม จริยธรรม บุคคลนั้น ก็จะได้รับการยกย่อง อีกทั้งเป็นแบบอย่างให้แก่คนในสังคม และอยู่รอดปลอดภัย ไกลคุก ไกลตะราง

เสรีภาพ กับความรับผิดชอบ คำ 2 คำนี้ มีความสัมพันธ์อย่างแยกไม่ออก ในการดำรงชีวิตอยู่ภายในสังคม บุคคลในแต่ละสังคม แต่ละประเทศ บุคคลสามารถมีเสรีภาพ อิสระในการที่จะทำอะไรก็ได้ ภายใต้กฏหมายของประเทศนั้นและสังคมนั้น อีกทั้งควรมีความรับผิดชอบ ทั้งดีและไม่ดีในสิ่งที่ตนเองได้ทำลงไปด้วย



แต่ในยุคปัจจุบัน บุคคลและองค์กรต่างๆในหลายวงการ มีเสรีภาพมากขึ้น แต่ความรับผิดชอบกลับลดน้อยลง เช่น การใช้สื่อของบุคคล หรือ แม้แต่นักสื่อสารมวลชน เราต้องยอมรับกันว่า สื่อในยุคนี้มีมากมายให้เลือกและมีความง่ายต่อการเข้าถึง ปัจจุบันเรามี สื่อ TV ดาวเทียม สื่อวิทยุชุมชน โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ สื่อทางอินเตอร์เน็ต เป็นสื่อที่คนทั่วโลกนิยมใช้กัน

บุคคลหรือสื่อมวลชนในยุคนี้ มักจะใช้สื่อทำลายศัตรูของตน โดยเฉพาะกับคนที่ไม่มีอำนาจหรือบุคคลโดยทั่วไป คนจน คนที่ไม่สามารถตอบโต้ได้ แต่สำหรับผู้มีอำนาจทางการเมือง อำนาจทุน อำนาจรัฐ บุคคลหรือสื่อ มักงดเว้นหรือไม่กล้าที่จะไปตรวจสอบ โดยอ้างความรับผิดชอบที่ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากการตรวจสอบนั้น อาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อหน้าที่การงานของตนเอง ความปลอดภัยในชีวิต ในทรัพย์สินของตนเอง ของครอบครัว เพราะบุคคลที่มีอำนาจ มักมีอิทธิพล มีเครือข่าย ที่จะตอบโต้

อีกทั้งสื่อมวลชนในยุคปัจจุบัน มีการนำเสนอข่าวที่มีการเลือกข้าง นำเสนอข่าวที่สร้างความขัดแย้ง และเข้าใจผิดให้แก่ผู้รับข่าวสาร หากใครอยู่ฝั่งเดียวกับตนก็จะชื่นชม แต่หากอยู่ฝั่งตรงกันข้ามก็เลือกที่จะใช้วิธี “ สุมไฟใส่ฟืน” ให้เกิดการแตกแยกยิ่งขึ้น

ดังนั้น สื่อควรรับผิดชอบต่อสังคม เพราะสื่อไม่ว่ารูปแบบใดจะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม ฉะนั้น สื่อสามารถนำพาสังคมไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าในทางบวกหรือทางลบ ไม่ว่าในทางสร้างสรรค์หรือทางทำลาย ไม่ว่าในทางแก้ไขปัญหาหรือการสร้างปัญหา

“ โกง ช่วยชาติ ” จากการสำรวจโพลล์ของสำนักเอแบคในหัวข้อ “ ชีวิตที่พอเพียงกับความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนและประเด็นสำคัญอื่นๆของประเทศ ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชนใน 17 จังหวัดของประเทศ จำนวน 1,228 ครัวเรือน พบว่า ร้อยละ 51.2 ยอมรับรัฐบาลที่ทุจริตคอร์รัปชันได้ เพราะคิดว่าทุกรัฐบาลก็ทุจริตคอร์รัปชันเหมือนกัน ถ้าทุจริตแล้วทำให้ประเทศรุ่งเรือง ประชาชนกินดีอยู่ดีก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ อีกทั้ง ร้อยละ 84.5 มองว่าการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องปกติธรรมดในการทำธุรกิจ

นอกจากนี้ผลของการสำรวจ ยังระบุอีกว่าเยาวชนยอมรับรัฐบาลที่ฉ้อราฏร์บังหลวง เพียงขอให้ทำประโยชน์แก่ประเทศและให้พวกเขาได้รับประโยชน์ไปด้วย

จึงไม่ต้องแปลกใจที่ มีงานสำรวจอีกชิ้นหนึ่งในปี 2552 ของสำนักข่าว AFP รายงานว่าสถาบันที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจหรือเพิร์ก ได้เผยแพร่รายงานประจำปี 2552 เกี่ยวกับการจัดอันดับการคอร์รัปชั่นในภูมิภาคเอเชีย 14 ประเทศ รวมถึงออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา

การสำรวจความเห็นผู้บริหารชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในภูมิภาคดังกล่าว 1,700 คน ปรากฏว่าประเทศที่มีการคอร์รัปชันน้อยที่สุดในเอเชียอันดับ 1 ได้แก่ สิงคโปร์ ได้ 1.07 คะแนน อันดับ 2 ได้แก่ ฮ่องกง 1.89 คะแนน อันดับ 3 ได้แก่ ออสเตรเลีย 2.40 คะแนน อันดับ 4 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 2.89 คะแนน และอันดับ 5 ได้แก่ ญี่ปุ่น 3.99 คะแนน อันดับ 6 ได้แก่ เกาหลีใต้ 4.64 คะแนน อันดับ 7 ได้แก่ มาเก๊า 5.84 คะแนน อันดับ 8 ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน 6.16 คะแนน อันดับ 9 ได้แก่ ไต้หวัน 6.47 คะแนน อันดับ 10 ได้แก่ มาเลเซีย 6.70 คะแนน อันดับ 11 ได้แก่ ฟิลิปปินส์ 7.0 คะแนน อันดับ 12 ได้แก่ เวียดนาม 7.11 คะแนน อันดับ 13 ได้แก่ อินเดีย 7.21 คะแนน อันดับ 14 ได้แก่ กัมพูชา 7.25 คะแนน อันดับ 15 ได้แก่ ประเทศไทย 7.63 คะแนน และอันดับ 16 (อันดับสุดท้าย) ได้แก่ อินโดนีเซีย 8.32 คะแนน

เราจะเห็นได้ว่า ชาวต่างชาติ รวมทั้งคนไทยเป็นจำนวนมาก ต่างก็รู้ว่า ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นมีเป็นจำนวนมากในประเทศไทย และมีหลากหลายวงการ ไม่ว่าจะเป็น วงการเมือง วงการราชการ วงการนักธุรกิจ ไม่เว้นแม้กระทั่ง วงการทางศาสนา ดังเราจะเห็นได้จากการวิ่งเต้นซื้อตำแหน่ง การเรียกสินบน การเรียกผลประโยชน์ต่างๆ ซึ่งปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นมีทุกภาค ทุกจังหวัด ทุกพื้นที่ ทั่วประเทศไทย

ซึ่งในความเห็นของกระผม การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะต้องทำการแก้ไขทั้งระบบ อีกทั้งปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น มีลักษณะคล้ายเชือกที่เป็นปม อยู่หลายปม แก้ปมนี้ก็จะไปเจออีกปมหนึ่ง

ดังนั้น บุคคล หากต้องการพบกับความสุข ความสงบ พบกับความเจริญ รุ่งเรือง ก้าวหน้าในชีวิต บุคคลนั้นควรยึดหลักคุณธรรม จริยธรรมในการดำเนินชีวิต อีกทั้งควรดำรงชีวิตอย่างมีเสรีภาพไม่เกินขอบเขตของกฏหมายกำหนด รวมถึงควรรับผิดชอบในการกระทำของตนที่ดีและไม่ดี
...
  
หากต้องการเวลา....ต้องกล้าที่จะปฏฺิเสธ
หากต้องการเวลา....ต้องกล้าที่จะปฏิเสธ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย
www.drsuthichai.com
จงทำแต่งานของท่าน แต่อย่ารับงานของคนอื่นมาทำเสียเอง
ในบางครั้ง เวลาในการทำงานของเรา มีลดน้อยลง ก็เนื่องจากเราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ หลายคนมีงานที่ต้องทำเป็นจำนวนมาก งานบางงานต้องเร่งรีบส่ง ในเวลาที่มีจำกัด แต่มีนิสัยขี้เกรงใจคน ไม่กล้าที่จะปฏิเสธคน จึงทำให้เวลาในการทำงานมีน้อยลง เช่น
คนบางคน เวลามีคนชวนไปกินข้าวเที่ยงเป็นเวลานานๆ ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ แทนที่จะรีบ
ไปทานข้าวเที่ยง แล้วมาทำงานต่อ กับเสียเวลาในการพูดคุยกันในเวลากินข้าวเที่ยงหรือเสียเวลาในการรออาหารเป็นเวลานาน จึงทำให้เวลาทำงานของตนเองเหลือน้อยลง
คนบางคน เพื่อนชวนไปเดินเที่ยวซื้อของที่ตลาด บางคนเพื่อนชวนไปเป็นเพื่อนเพื่อ
ติดตามงาน(ของเพื่อน)ในสถานที่ติดต่องานราชการ ใน วัน เวลาทำงาน ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ จึงทำให้เวลาทำงานของตนเองน้อยลง
คนบางคนถูกเพื่อนหรือคนรู้จัก ขอร้องให้ช่วยทำงานของเขา แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ จึงทำให้เวลาในชีวิตของตนลดน้อยลง เช่น เพื่อนร่วมงานเรียนปริญญาโท แล้วให้ช่วยทำรายงานให้ ซึ่งงานเหล่านี้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องหรือมีความสำคัญกับเราเลย แต่ด้วยความที่ไม่กล้าปฏิเสธ จึงทำให้เวลาของเราเหลือน้อยลง
คนบางคน เพื่อนร่วมงานมาหาที่โต๊ะทำงาน แล้วก็ชวนพูดคุย นินทา ผู้คนต่างๆ เป็นเวลานานๆ แต่ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ ในการพูดคุยเป็นเวลานานๆ จึงทำให้เสียเวลาในการทำงานของตนเอง อีกทั้งงานที่จะส่งก็ล่าช้าตามไปด้วย
คนบางคน ขอร้องให้ช่วยไปซื้อของหรือฝากซื้อของ ยังสถานที่ต่างๆในเวลาทำงาน หรือ พักเที่ยงขอร้องให้เราไปจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าไฟฟ้า , ค่าน้ำประปา ,ค่าบัตรเครดิต , ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ หากว่าเราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ เวลาทำงานของเราก็จะลดน้อยลง
คนบางคน ใช้เวลาในการสนทนา ทาง Facebook หรือ สนทนาทาง Line ในเวลาทำงาน นานจนเกินไปและก็ไม่ใช่สนทนาเกี่ยวกับงานที่ตนเองทำ หากว่า เราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ เวลาในการทำงานของเราก็จะลดน้อยลง
คนบางคน ไปนั่งทานข้าวหรือนั่งกินกาแฟกับเพื่อน เป็นเวลานานๆ แต่มีงานที่จะต้องทำหรือมีธุระที่จะต้องทำ ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ หรือกล้าที่จะขอตัวแล้วลุกจากที่นั่ง หากว่า เราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ เวลาของเราก็จะลดน้อยลง
ดังนั้น หากท่านต้องการมีเวลาที่จะการทำงานมากขึ้น ท่านต้องกล้าที่จะปฏิเสธ อย่ารับงานของคนอื่นมาทำแทน เพราะ การเกรงใจหรือการไม่กล้าที่จะปฏิเสธ จะทำให้ท่านเสียเวลาในการทำงานของท่านลง มันเป็นผลเสียต่อตารางการทำงานของเรา ทั้งนี้ การปฏิเสธ ไม่ได้หมายรวมไปถึง งานที่เจ้านายหรือผู้บริหาร เขามอบหมายให้ เพราะนั้นคือหน้าที่ ความรับผิดชอบที่จะต้องทำ เพื่อความก้าวหน้า เพื่อตำแหน่ง เพื่อชีวิตของตนเอง
ต้องกล้าที่จะปฏิเสธ จึงเป็นหัวใจหนึ่งที่สำคัญในการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ

...
  
การตลาดเพื่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
การตลาดเพื่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com

ธุรกิจการท่องเที่ยวของไทย มีความน่าสนใจมาก เพราะได้นำรายได้จำนวนมากมายมหาศาลเข้าประเทศ การท่องเที่ยวในประเทศไทยเติบโต เนื่องจากการได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นนโยบายของรัฐบาล หน่วยงานราชการ หน่วยงานภาคเอกชน อีกทั้งมีการบริหาร มีการจัดการระบบการท่องเที่ยวเข้ามาช่วย เช่น เรามีสนามบินสุวรรณภูมิที่ใหญ่มาก และตอนนี้ก็ได้มีการเปิดสนามบินดอนเมืองขึ้นมาใช้งานเพิ่มเติม เรามีโรงแรมหลากหลายประเภท ตั้งแต่โรงแรมขนาดเล็กราคาถูกจนถึงโรงแรมขนาดใหญ่ซึ่งมีราคาแพง เรามีบุคลากรที่บริการนักท่องเที่ยวที่ดี บริการด้วยความสุภาพ มีความเอื้ออาทรต่อนักท่องเที่ยว เรามีภูมิประเทศที่หลากหลาย เรามีทะเล มีภูเขา มีน้ำตก มีเขตติดต่อกับหลายประเทศ เรามีวัฒนธรรม ประเพณี ประวัติศาสตร์ที่มีความน่าสนใจ เรามีระบบคมนาคมที่ดี มีรถโดยสารประจำทาง มีรถไฟฟ้า มีเรือ ที่จะนำพานักท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ
อีกทั้ง เราจะมีการเปิด AEC (ประชาคมอาเซียน) ประเทศไทยซึ่งได้รับการยอมรับและได้เป็นตัวกลางประสานเรื่องการท่องเที่ยวของประเทศในกลุ่มประชาคมอาเซียน เราสามารถเดินทางเข้าออกไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียนสะดวกขึ้น ถึงแม้จะมีการสำรวจว่านักท่องเที่ยวทั่วโลกอยากจะมาเที่ยวประเทศในกลุ่มอาเซียนประเทศใดมากที่สุด ผลออกมาคือประเทศมาเลเซียอันดับ 1 และประเทศไทยอยู่อันดับรองๆลงมาก็ตาม
หน่วยงานที่รับผิดชอบการท่องเที่ยวไทย ควรทำการตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น มีการบุกตลาดเพื่อประชาสัมพันธ์ในประเทศต่างๆมากขึ้น มีการทำอีเวนต์ มาเก็ตติ้งมากขึ้น มีการสร้างเครือข่ายข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ดู ควรสร้างแบรนด์การท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เข้มแข็งขึ้น ควรมีแผนการทำงานด้านการตลาดทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว อีกทั้งควรพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยวให้ได้มีการฝึกภาษาต่างประเทศที่หลากหลายภาษายิ่งขึ้น
การรุกตลาดใหม่ๆ มีการสำรวจว่านักท่องเที่ยวประเทศใดเข้ามาเที่ยวเมืองไทยมากที่สุด ปรากฏว่าเป็นชาวจีน แต่เราสามารถหาตลาดใหม่ๆได้ ปัจจุบันประเทศมุสลิม ส่วนใหญ่ร่ำรวยจากการขายทรัพยากรน้ำมัน ประชาชนชาวมุสลิมได้มีการท่องเที่ยวที่มากขึ้น ซึ่งประเทศไทยก็ควรจัดสิ่งต่างๆเพื่ออำนวยความสะดวกตามวิถีทางของชาวมุสลิม ไม่ว่าโรงแรม โรงพยาบาล สนามบิน สถานที่ละหมาด จะสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวในประเทศมุสลิมเข้ามาเที่ยวเมืองไทยเพิ่มขึ้น
ด้านผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวเอง คงขึ้นอยู่ที่คุณภาพของสินค้าและบริการ รวมถึงกลไกการตลาดด้านการท่องเที่ยวก็มีความสำคัญ ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ควรที่จะวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่การวางแผนก่อน ก่อนที่จะทำอะไรก็ตาม เราควรวางแผนลงไปในกระดาษว่า เราจะทำการตลาดอย่างไร ธุรกิจเราจะไปในทิศทางไหน เราจะสร้างโรงแรมโดยคิดราคาห้องพักราคาถูกหรือไม่ หรือเราจะสร้างโรงแรมที่มีความแตกต่างแล้วคิดในราคาที่สูงมากขึ้น ธุรกิจเราจะใช้ 4 P อะไรบ้าง marketing mix (Product Price Place Promotion) สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องคิดก่อน วางแผนก่อนลงมือทำจริง
การบริการลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวก็มีความสำคัญ เคยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งของสถาบันที่น่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริการ ระบุว่า 86 % ของลูกค้าคาดหวังจะได้รับบริการที่ดี 82 % จะเปลี่ยนผู้ให้บริการหากไม่พอใจ 97 % เปลี่ยนหันเหไปหาผู้ให้บริการรายอื่น 35 % ไม่ยอมรับคำขอโทษหากไม่พอใจ ลูกค้าไม่พอใจในบริการ 1 คน จะบอกต่อถึง 78 คน ยิ่งในยุคปัจจุบันลูกค้าสามารถบอกต่อได้เป็นแสนๆล้านๆคน เขียนผ่านสื่ออินเตอร์เน็ต แต่ถ้าเขียนภาษาอังกฤษได้ คนก็สามารถได้เห็นได้อ่านมากยิ่งขึ้น อีกถ้าหากลูกค้าถ่ายคลิปได้ ยิ่งสามารถเผยแพร่ไปได้ทั่วโลก แต่ถ้าบริการดี ลูกค้าพอใจจะบอกต่อ 1 คน ต่อ10 คน และจะกลับมาใช้ใหม่35% ดังนั้นการทำ CRM คือ Customer Relationship Management จึงเป็นเครื่องมือช่วย ทำให้เกิดการบอกต่อมากขึ้น
ด้านการแข่งขันกันในธุรกิจโรงแรม ธุรกิจนำเที่ยว ส่วนใหญ่จะมีการแข่งขันในเรื่องการลดราคา อีกส่วนหนึ่งไม่อยากแข่งขันด้านราคา จึงหันไปสร้างความแตกต่าง เพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น การออกแบบโรงแรมให้เกิดความแตกต่าง แต่มาถึงจุดหนึ่ง ก็โดนเลียนแบบ จนหาความต่างได้น้อยมาก การแข่งขันในยุคปัจจุบัน จึงต้องเน้นไปที่การสร้างตลาดใหม่ซึ่งเป็นของตนเอง Blue Ocean จึงมีการพูดถึงกันมากในยุคปัจจุบัน ชาน คิม และเรเน โมบอร์ค เป็นผู้คิดทฤษฏีนี้ เขาได้ระบุไว้ในหนังสือของพวกเขา โดยบอกไว้ว่า หากเราต้องการที่จะหลุดพ้นจากการแข่งขันที่รุนแรงหรือเขามักเรียกว่าทะเลเลือดหรือน่านน้ำสีแดง เราต้องพยายามเปลี่ยนความคิดในทางตลาดใหม่ เขาเรียกว่า ทะเลคราม หรือ น่านน้ำสีคราม
คิม และ โมบอร์ก กล่าวว่าอย่ามองแค่ธุรกิจที่อุตสาหกรรมที่เราทำอยู่เท่านั้น แต่ควรมองไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆที่มีสินค้า ที่ได้ตอบสนองลูกค้าคล้ายกับสินค้าของเรา เช่น ธุรกิจโรงแรม ตอบสนองลูกค้า หรือลูกค้าได้ประโยชน์ โดยการพักผ่อน แล้วอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่สามารถตอบสนองลูกค้าโดยการพักผ่อน ก็คือธุรกิจท่องเที่ยว เป็นไปได้หรือไม่ที่ เราจะสร้างโรงแรม ในรถทัวร์ ทั้งนี้ นักท่องเที่ยว สามารถนอนบนรถทัวร์แบบสบายที่สุดเหมือนนอนในโรงแรม ในขณะเดียวกัน ก็ประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย ในการเดินทางอีกด้วย
การโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ ควรทำหลายทาง สมัยนี้ โซเชียลมีเดีย มาแรงมาก ถ้าโรงแรมไหน ธุรกิจท่องเที่ยวไหน ยังไม่มีขอแนะนำให้ทำ ไม่ว่า จะเป็น เว็ปไซค์ Facebook ทวิตเตอร์ อีกทั้งควรมีการต่อยอดเพื่อให้เกิดการบอกต่อด้วย เช่น เมื่อลูกค้าเข้ามาโรงแรมพักที่โรงแรม หากลูกค้ามีการเช็คอินใน Facebook ก็จะมีแต้มหรือมีคะแนนหรือมีของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆให้ การจ้างพนักงานดูแลสื่อโซเซียลมีเดียจึงมีความจำเป็น บริษัทใหญ่ๆมักมีหน่วยงานนี้ เพราะบางครั้งลูกค้า ใส่ชื่อโรงแรมเราเข้าไปใน google เมื่อกดเข้าไปดันไม่ใช่เว็ปไซค์เรา ปัญหาเหล่านี้ ควรต้องมีการดูแลและเข้าไปแก้ไข
ฉะนั้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จะพัฒนาและเจริญเติบโตไปได้อย่างรวดเร็ว คงต้องอาศัยการตลาดเข้าช่วย และจะต้องดำเนินไปพร้อมกับปัจจัยอื่นๆ เช่น การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว การพัฒนาบุคลากรและผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว เป็นต้น






...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  [98]  [99]  [100]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.