หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
การเตรียมพูดและการฝึกซ้อมการพูด
การเตรียมพูดและการฝึกซ้อมการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
“ ในโลกนี้ยังไม่เคยปรากฏว่านักพูดคนใดที่สามารถพูดโดยไม่เตรียมตัวได้ดีกว่าเตรียมตัวนอกเสียจากเหตุบังเอิญ เท่านั้น” เป็นคำพูดที่ให้แง่คิดมากสำหรับคำพูดของ ดร.ราล์ฟ ซี.สเม็ดเล่ย์ ผู้ก่อตั้ง Toast Masters International
สำหรับการเตรียมตัว เราต้องมีการคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ดังนี้
1.วัตถุประสงค์ในการพูด ว่าการพูดครั้งนั้น เราพูดเพื่ออะไร (พูดให้ความรู้ พูดเพื่อให้ความบันเทิง หรือพูดเพื่อชักชวน)
2.เรื่องที่จะพูด ไม่ควรกว้างเกินไป จนหาประเด็นสำคัญๆไม่ได้ ทั้งนี้ผู้พูดควรพูดเรื่องที่ตนเองมีความถนัด มีประสบการณ์ เพราะหากผู้พูดไม่มีความถนัดหรือมีประสบการณ์ ผู้พูดก็ควรตอบปฏิเสธการพูดในครั้งนั้น
3.รวบรวมเนื้อหาที่จะพูด ผู้พูดควรทำการรวบรวมเนื้อหาที่จะพูดทั้งหมดเสียก่อนไม่ต้องคำนึงถึงว่าเนื้อหาจะใช้ได้หรือไม่ได้ เพราะเราสามารถนำมาตัดต่อหรือเพิ่มเติมได้ในภายหลัง
4.การวางโครงเรื่อง จะขึ้นต้นอย่างไร ตอนกลางอย่างไร และจบอย่างไร
5.การวิเคราะห์ผู้ฟัง เป็นขั้นตอนหนึ่งของการเตรียมตัว เพราะหากว่าเรารู้ว่าผู้ฟังเป็นใครเราสามารถยกตัวอย่างต่างๆหรือทำกิจกรรมต่างๆ ให้สอดคล้องกับกลุ่มผู้ฟังมากยิ่งขึ้น
6.การฝึกซ้อม การฝึกซ้อมการพูดมีความสำคัญต่อความสำเร็จและความล้มเหลว ในการพูดแต่ละครั้ง ยิ่งเป็นนักพูดหน้าใหม่หรือกำลังฝึกฝนการพูดใหม่ๆ ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับการฝึกซ้อม แต่สำหรับนักพูดหน้าเก่า เขามักมีเวทีแสดงการพูดมากดังนั้น เขาจึงใช้เวทีต่างๆในการพูดเพื่อฝึกซ้อมการพูดไปในตัว
การฝึกซ้อมการพูดมีหลากหลายวิธีด้วยกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกลุ่มผู้ฟัง สถานที่ที่จะไปพูด ฐานะของผู้พูด เช่น การพูดในงานโต้วาที การพูดในฐานะวิทยากรบรรยายให้ความรู้ การพูดในงานปาฐกถา ฯลฯ ซึ่งแต่ละงานมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่ว่าผู้พูดจะเตรียมสื่อหรือมีทัศนะอุปกรณ์ช่วยในการพูดมากน้อยเพียงใด
อีกทั้งจริตในการฝึกซ้อมการพูดของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน ท่านผู้อ่านก็ไม่ควรเลียนแบบ แต่ควรค้นหาแนวทางของตนเอง เช่น บางคนฝึกซ้อมต่อหน้ากระจกแล้วทำให้การพูดออกมาดี , บางคนฝึกซ้อมในรถยนต์ , บางคนฝึกซ้อมต่อหน้าเพื่อน , บางคนฝึกซ้อมโดยเปิดสไลด์การนำเสนอไปด้วยเสมือนกับกำลังพูดกับผู้ฟังจริงๆ ฯลฯ ทั้งนี้การฝึกซ้อมจะได้ผลดีเพียงใด คงขึ้นอยู่กับนิสัย จริต ความชอบของแต่ละบุคคล ซึ่งเราต้องค้นหาจากตัวของเราเอง
การวางแผนการพูดมีความสำคัญไม่น้อยต่อความสำเร็จ ตัวอย่าง เราจะขึ้นต้นอย่างไรในการนำเสนอ นักพูดหลายท่านในยุคปัจจุบันมักมีการขึ้นต้นด้วยเพลงบ้าง ด้วยคลิป VCD บ้าง ขึ้นต้นด้วยสไลด์สำคัญๆบ้าง แล้วจะมีการเชื่อมโยงเนื้อหาอย่างไรเพื่อให้เกิดความกลมกลืน และตอนจบจะจบอย่างไร เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจ สิ่งเหล่านี้มีผลอย่างมากต่อการพูดแต่ละครั้ง การฝึกซ้อมการพูดเราจึงควรให้ความสำคัญต่อการวางแผนการพูด
การซ้อมพูดที่ดีไม่ควรท่องจำคำต่อคำ เพราะจะทำให้ผู้ฝึกซ้อมเกิดความเบื่อหน่าย หากจำไม่ได้ก็จะเสียเวลา อีกทั้งการท่องจำแล้วนำไปพูดจะทำให้ผู้ฟังสัมผัสได้ เนื่องจากไม่เป็นธรรมชาติ ไร้ชีวิตชีวา ทั้งนี้ควรซ้อมพูดมาจากใจ ซ้อมพูดด้วยความกระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า เสมือนการพูดบนเวทีจริงๆ
สำหรับประโยชน์ของการฝึกซ้อมการพูด นักพูดที่ประสบความสำเร็จทั้งในยุคอดีต ยุคปัจจุบัน จะขาดการฝึกซ้อมไปไม่ได้เลย เพราะการฝึกซ้อมจะทำให้ท่านเกิดความมั่นใจในการพูด การฝึกซ้อมจะทำให้ท่านจำเนื้อหาในการพูดได้ดีกว่าการไม่มีการฝึกซ้อม และการฝึกซ้อมการพูดจะทำให้ท่านได้มีการแก้ไขสำนวน เนื้อหาของการพูดเพื่อให้เกิดความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
การพูดที่ยาวเกินไปหรือสั้นเกินไป ส่วนใหญ่เกิดจากการเตรียมตัวและการฝึกซ้อมที่ไม่ดีพอ
...
  
เจ้าสัวเชื้อสายจีน
เจ้าสัวเชื้อสายจีน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนจีน เป็นชนชาติหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าค้าขายเก่ง ดังเราจะเห็นได้จากบรรดาเจ้าสัวในอดีต ในสังคมไทย ซึ่งเจ้าสัวเหล่านี้ มีทรัพย์สมบัติมากมาย อีกทั้งยังมีกิจการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร บริษัท ห้างร้าน ซึ่งกระผมได้ศึกษาจากการอ่านและติดตามการสัมภาษณ์ต่างๆ จึงพอสรุปวิธีคิดของคนจีนที่สร้างความมั่งคั่งร่ำรวย โดยเฉพาะคนจีนที่มาจากประเทศจีน ข้ามทะเล ข้ามภูเขามา ประเภทหอบเสื่อผืนหมอนใบ สร้างฐานะจนร่ำรวยจนได้ชื่อว่าเป็น เจ้าสัวของเมืองไทย ปัจจัยที่ทำให้เจ้าสัวเหล่านี้ประสบความสำเร็จคือ
1.ต้องมีกิจการเป็นของตนเอง เจ้าสัวในอดีตมักมีความตั้งใจ มีเป้าหมายในชีวิต ว่าสักวันหนึ่ง จะต้องมีกิจการเป็นของตนเองให้ได้ ซึ่งเจ้าสัวเหล่านี้ มักเริ่มต้นชีวิตจากความยากลำบาก โดยการทำงานทุกบทบาทหน้าที่ ตั้งแต่ คนใช้ คนสวน ลูกจ้าง แล้วเก็บหอมรอมริบ จนกระทั่ง นำเงินที่เก็บออมได้ มาเปิดกิจการ
2.ต้องกล้าเสี่ยง ใจต้องถึง อย่ากลัวขาดทุน เสี่ยงมากได้มาก เสี่ยงน้อยได้น้อย เป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติอย่างหนึ่ง ทุกกิจการต้องมีความเสี่ยงเสมอ เช่น KFC ผู้พันแซนเดอร์ต้องนำเงินบำนาญมาลงทุนทำไก่ทอด ทุกกิจการมีจุดเริ่มต้นที่ไม่แตกต่างกัน กล่าวคือ ต้องยอมเสี่ยงที่จะนำเงินมาลงทุน ทั้งๆที่ไม่รู้ว่า กิจการจะมีกำไร หรือ ขาดทุน
3.ต้องอดทน เจ้าสัวในอดีต มีความอดทนมาก กินก็น้อย แต่ทำงานหนัก อดทนต่อความลำบากทุกชนิด อดทนต่อการถูกดูถูก อดทนต่อการถูกลูกค้าต่อว่า อีกทั้งต้องเอาใจลูกค้าเกือบทุกประเภท
4.หาช่องว่างขยายกิจการ คนจีนที่ค้าขายเก่ง มักจะเป็นนักขยายกิจการ เขาจะนำเงินกำไรที่ได้ ไปขยายการลงทุนมากกว่าการนำเงินไปฝากธนาคาร อีกทั้งเมื่อมีความจำเป็นก็ย่อมเสี่ยงที่จะขอเครดิตกับธนาคาร แต่จะไม่ยอมเสียเครดิตที่สร้างมาตลอดชีวิต
5.ขยันวันนี้เป็นเจ้าสัววันหน้า นักธุรกิจจีนที่ค้าขายเก่ง มักเป็นคนที่ขยันทำงาน เขาจะทำงานทุกวันไม่ค่อยมีวันหยุด เจ้าสัวในอดีต มักทำงาน 7 วัน โดยไม่มีวันหยุด เขาจึงเป็นเศรษฐีรวดเร็ว กว่านักธุรกิจประเทศต่างๆ ที่ทำงานเพียงแค่ 5 วัน แล้วหยุดพัก 2 วัน
6.ต้องมีความทะเยอทะยาน เป็นกรรมกร ลูกจ้าง ไม่มีวันเด่น เจ้าสัวจึงต้องพยายามดีดตัวเป็นใหญ่เป็นโตให้จงได้ ฉะนั้นความทะเยอทะยาน จึงเป็นสิ่งที่ดี หากว่าเรานำมาใช้อย่างเหมาะสม
7.ต้องพักผ่อนโดยการทำงาน เพราะว่าการพักผ่อนหลายๆอย่าง เราสามารถประยุกต์ให้ได้ผลงานไปในตัวด้วย เช่นหลายๆคนพักผ่อน โดยการ อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ รดน้ำต้นไม้ ล้างรถ ทำงานบ้าน ฯลฯ ฉะนั้น การเปลี่ยนกิจกรรมในการทำงานจึงเป็นวิธีพักผ่อน อีกทั้งทำให้เราได้ผลงานไปในตัว
8.ต้องประหยัด มัธยัสถ์ เจ้าสัวในอดีต มักเป็นคนที่ประหยัด รู้จักเก็บออม ไม่สุลุ่ยสุร่าย แต่ไม่ถึงกับขี้เหนียว อีกทั้งเจ้าสัวหลายๆคนมักจะมีการแบ่งปันไปให้กับลูกน้อง จึงทำให้สามารถผูกใจให้ลูกน้อง มีความรู้สึกจงรักภักดีในตัวเจ้าสัว
9.ต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน เจ้าสัวมักเป็นคนที่เรียบง่าย พูดจาสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน ให้ความเคารพนับถือผู้คน ตั้งแต่คนรากหญ้าจนถึงคนระดับสูงสุด
10.ต้องมีความคิดว่า “ตัวเราคือผู้กำหนดอนาคตของตัวเอง” เจ้าสัวมักเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเองสูง มักมีความศรัทธาในตัวเอง รู้จักพึ่งพาตนเองมากกว่ารอให้คนอื่นๆช่วยเหลือ เจ้าสัวมักเป็นคนที่ต้องตัดสินใจเด็ดขาด กล้าได้กล้าเสีย อีกทั้งยังเป็นที่พึ่งให้แก่คนใกล้ชิดอีกด้วย
ฉะนั้น ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้เจ้าสัวในอดีตประสบความสำเร็จ แต่กระผมเชื่อว่า ทั้ง 10 ข้อ ข้างต้นเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าสัวในอดีตประสบความสำเร็จมากกว่าปัจจัยอื่นๆ
...
  
ศิลปะการฟัง
ศิลปะการรับฟัง

โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)

ผู้บริหารที่ดีต้องมีความรู้ ความสามารถ และทักษะต่างๆ มากมาย ทักษะหนึ่งที่ผู้บริหารควรมีในตัวเอง ก็ คือ ทักษะในการรับฟัง หรือ ศิลปะการรับฟัง ครับ ในวันนี้ เราจะมาพูดเรื่องนี้กันครับ


“ความด้อยสมรรถภาพในการสื่อความของมนุษย์ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมากระเดียด ขาดความเชี่ยวชาญในการฟัง และไม่สามารถฟังผู้อื่นด้วยความเข้าใจ"

เป็นคำพูดของ คาร์ล โรเจอร์ (นักจิตวิทยา)


ผู้บริหารที่มีปัญหาในเรื่องการรับฟังลูกน้อง มักจะมีคำพูดดังนี้ “ รู้แล้ว ๆๆ ” หรือ “ ผมไม่เห็นด้วยกับคุณ ” คำพูดเหล่านี้มักปิดโอกาสไม่ให้ผู้บริหารได้รับรู้ถึงปัญหา หรือ ข้อมูลใหม่ที่ลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา ต้องการสื่อ


ความจริงแล้ว ข้อเสนอของลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา บางคนถึงแม้จะมีความรู้น้อยแต่อาจจะมีประสบการณ์มากในบางเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาไม่รู้ก็ได้ ดังนั้น ผู้บริหารที่มีทักษะหรือศิลปะการรับฟัง มักจะได้ข้อมูลดีๆ และยังเป็นที่ชื่นชมของลูกน้องอีกด้วย เนื่องจากผู้บริหารคนใด มีศิลปะการรับฟัง มักจะเป็นการให้เกียรติผู้ใต้บังคับบัญชา


สำหรับข้อมูลความคิดของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดี มักเกิดขึ้นในที่ประชุม ผู้บริหารที่ดีจึงต้องเปิดโอกาส พร้อมทั้งกระตุ้นให้ผู้ใต้บังคับบัญชา แสดงความคิดเห็น พยายามจับประเด็นว่าเป็นเรื่องอะไร เพื่อให้เกิดความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์มากที่สุดในการนำไปใช้ และพยายามทำความเข้าใจว่าลูกน้องหรือผู้พูดต้องการอะไร


ไม่คาดคั้น ผู้พูด


ผู้บริหารควรต้องมีมารยาทในการรับฟัง คือ ควรจะสบสายตา หรือพยักหน้ายิ้มให้แก่ผู้เสนอความคิดเห็นอีกทั้งไม่พูดขัดจังหวะหรือพูดแทรกขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายแสดงความคิดเห็น


ผู้บริหารควรมีความอดทนในการที่จะรับฟัง เพราะผู้ใต้บังคับบัญชา จำนวนมากมักแสดงความคิดเห็นหรือขาดเทคนิคในการนำเสนอ บางคนพูดวกไปเวียนมา


ผู้บริหารควรรับฟังอย่างกระตือรือร้น คือ ต้องมีสมาธิในการฟัง ไม่ใช่คิดเรื่องอื่นๆ ตลอดเวลาในการฟัง พอผู้ใต้บังคับบัญชาพูดจบ ก็ยังไม่รู้ว่าเขาพูดเรื่องอะไรเลย ไม่ฟังแบบเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา แต่ต้องฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่แสดงอาการเบื่อหน่าย


ผู้บริหารบางคนที่ไม่มีศิลปะการรับฟัง มักจะรู้สึกว่า “ ทุกอย่างเกิดจากความคิดของตนเองไม่มีใครช่วยคิดเลย ” นั้นแสดงว่า ตนเองไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นช่วยคิดหรือมีโอกาสในการแสดงความคิดเลย ธรรมดามนุษย์เราส่วนใหญ่มักเป็นนักคิดอยู่แล้ว บางคนคิดมาก คิดฟุ้งซ่านไปเลยก็มี


ดังนั้น ทักษะการฟังเป็นทักษะที่สำคัญของผู้บริหาร หรือ ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จไม่ว่าด้านใดพึ่งต้องเรียนรู้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทักษะทางด้านการพูด การอ่าน และการเขียน เพราะทักษะการฟังมักจะทำให้ผู้ฟัง ฝึกจับประเด็น ฝึกความจำ ฝึกเป็นนักคิดนักเขียนต่อไปอีกทั้งทำให้ผู้นั้นเกิดสติปัญญาความรู้เพิ่มมากขึ้นในลำดับต่อไป


ทักษะการฟังยังเป็นพื้นฐานในการเข้าสังคม และช่วยลดความขัดแย้งในสังคม ลดการเข้าใจกันผิด อีกด้วย




















...
  
ก้าวไปให้ถึงจุดสุดยอดของชีวิต
ก้าวไปให้ถึงจุดสุดยอดของชีวิต
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
วิลเลี่ยม เจมส์ นักจิตวิทยาชื่อดังของสหรัฐ กล่าวว่า “ คนโดยทั่วไปใช้ศักยภาพอันโดดเด่นของตนเองเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น”
นั่นหมายความว่า คนเราส่วนใหญ่ใช้ความสามารถ ใช้ขุมทรัพย์ที่มีอยู่ในร่างกายและจิตใจของเรา เพียงน้อยนิด แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะเรียกใช้ ศักยภาพในตัวของเราให้มากยิ่งขึ้น คำตอบก็คือ ท่านสามารถเรียกใช้ศักยภาพของตนเองให้มากขึ้นด้วยเทคนิคดังนี้
1.คุณจะต้องรู้จักตั้งเป้าหมายชีวิต เป้าหมายชีวิตมีความสำคัญมาก คนที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิตเปรียบเสมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ เรือลำนั้นก็มักจะลอยอยู่กลางทะเล มักไปไม่ถึงฝั่ง การตั้งเป้าหมายชีวิตจะทำให้เรานำศักยภาพมาใช้ได้มากยิ่งขึ้น เช่น ผู้นำในประวัติศาสตร์โลกในหลายประเทศ บางท่านตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นประธานาธิบดี จึงทำให้เขาเหล่านั้นพัฒนาตนเองในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพูด การเขียน การพัฒนาบุคลิกภาพ การพัฒนาความคิดการศึกษาหาความรู้จากการฟัง การอ่านหนังสือต่างๆ เป็นต้น
2.คุณจะต้องปลุกตัวเองให้มีความกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ฝึกการเคลื่อนไหวร่างกายให้เคลื่อนไหวร่างกายให้เร็วขึ้น ฝึกพัฒนาความคิด ฝึกการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนมีชีวิตชีวา ฝึกยิ้มเยอะๆ ยิ้มเก่งๆ ฝึกทำงานด้วยความกระฉับเฉง
3.คุณจะต้องกล้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาดหรือกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างจริงจัง หากว่าคุณมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าจะลดน้ำหนัก คุณจะสามารถลดน้ำหนักได้ การตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจังหมายถึง การตัดสิ่งที่คุณสนใจอย่างอื่นๆทิ้งให้หมด ให้เหลืออยู่เฉพาะสิ่งที่คุณสนใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างจริงจังเท่านั้น
4.คุณจะต้องมีการวางแผนที่ดี แฟรงค์ เบทเจอร์ นักขายประกันชีวิตแนวหน้าของอเมริกา เขาได้เตรียมแผนการหรือวางแผนการทำงานตอนกลางคืนว่าจะทำอะไร จะติดต่อใคร แล้วก็ออกไปทำงานตามแผนการที่วางเอาไว้ในตอนเช้า
5.คุณจะต้องหาบุคคลที่เป็นต้นแบบ หากว่าคุณต้องการประสบความสำเร็จด้านใด คุณควรหาต้นแบบและทำการศึกษาประวัติ เทคนิค วิธีการต่างๆ ที่เขาใช้ แล้วคุณลองทำตาม คุณก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
6.คุณจะต้องฝันหรือจินตนาการ สิ่งที่คุณต้องการที่จะประสบความสำเร็จในทุกๆวัน การจินตนาการจะดึงดูดสิ่งที่คุณปรารถนาเข้ามาในชีวิต เคยมีการทดลองในสหรัฐอเมริกา โดยเอานักบาสเกตบอลมา 3 คน คนแรกให้ซ้อมตามปกติ คนที่สองไม่ให้ซ้อมและคนที่สาม ให้ฝึกซ้อมในจินตนาการ โดยมีการกำหนดเวลาทดลอง 2 สัปดาห์ ผลปรากฏว่า คนที่หนึ่งกับคนที่สาม ทำคะแนนได้ใกล้เคียงกัน ส่วนคนที่สอง คะแนนแย่ลงกว่าเดิมมาก
7.คุณจะต้องฝึกพูด ฝึกให้กำลังใจตนเอง ในแง่บวกอยู่เสมอ การฝึกพูดในแง่บวกกับตนเองจะเป็นการโปรแกรมสิ่งต่างๆ ที่เราพูดลงไปในสมอง เช่น ฉันทำได้ , ฉันมีพลัง , ฉันเก่ง , ฉันสุดยอด , ฉันยอดเยี่ยม ฯลฯ เมื่อท่านฝึกพูดกับตัวเองบ่อยๆ ด้วยเสียงที่ดังๆกับตัวเอง จะทำให้ท่านเกิดความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น
ปัจจัยข้างต้นเหล่านี้ เป็นปัจจัยบางส่วนที่ทำให้ท่านดึงศักยภาพของตนเองออกมาใช้และเกิดการพัฒนาตนเองได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดก็คือ อย่ามัวแต่อ่าน แต่ขอให้จงลงมือทำอย่างจริงจัง เมื่อเวลาผ่านไป ท่านก็จะพบว่าตนเอง ก้าวมาได้ไกลมากแล้ว จงฝึกฝน ฝึกฝนและฝึกฝน อย่างต่อเนื่องแล้วท่านจะยืนอยู่บนจุดสุดยอดของชีวิตของท่าน
...
  
การตลาดเชิงยุทธ์
การตลาดเชิงยุทธ์
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
กลยุทธ์ทางการตลาดมีความสำคัญมาก ในการนำไปปรับใช้เพื่อต่อสู้กับคู่แข่งขันทางการตลาด ซึ่งในภาวการณ์แข่งขันในปัจจุบันมีความรุนแรง มีความไร้พรมแดน มากกว่าในอดีต กลยุทธ์ทางการตลาดจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังในการกำหนดการแพ้ชนะในการแข่งขันทางการตลาด ซึ่งกลยุทธ์ทางการตลาดที่สำคัญมีดังนี้
กลยุทธ์การตั้งชื่อสินค้า ชื่อยี่ห้อ ชื่อสินค้า ชื่อผลิตภัณฑ์ มีความสำคัญมากเป็นอันดับต้นๆ เพราะหากเราใช้ชื่อนั้นไปแล้ว แล้วมาเปลี่ยนแปลงในภายหลัง ก็จะทำให้เรามีต้นทุนและเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น สำหรับหลักการตั้งชื่อที่ดีนั้น ควรมีลักษณะ “ สั้น , ง่าย , ไม่ซ้ำ , จูงใจ , จดจำได้ง่าย ”
สั้น คือ ควรใช้คำในการตั้งชื่อ 1- 2 พยางค์ (แฟ้บ , มาม่า , โค้ก , แม่โขง , กูเกิล ,ซัมซุง )หากมีความจำเป็นจะต้องใช้ 3-5 พยางค์ ควรให้มีความสอดคล้องกัน ( เอไอเอส ,โมโตโรร่า , อายิโนะโมะโต๊ะ , ส ขอนแก่น ) ข้อดีของการตั้งชื่อที่มีความยาว คือทำให้เกิดความซ้ำซ้อนน้อยกว่า(ชื่อซ้ำกับผลิตภัณฑ์อื่น) การตั้งชื่อ 1-2 พยางค์
ง่าย คือ เรียกง่าย เข้าใจง่าย ไม่ยาก ฟังแล้ว อ่านแล้ว ไม่ต้องแปลให้มาก สำหรับความง่ายนี่ เราควรคำนึงถึงว่า เราจะขยายตลาดไปยังต่างประเทศหรือเปล่า หากว่าต้องการขยายฐานตลาดก็ควรตั้งชื่อให้เป็น ภาษาอังกฤษจะดีกว่าการตั้งชื่อเป็นภาษาไทย
ไม่ซ้ำ คือ ชื่อไม่ควรซ้ำกับสินค้ายี่ห้ออื่น หรือ สินค้าประเภทต่างๆ เพราะอาจเจอเรื่องของลิขสิทธิ์ อีกทั้งเมื่อมีการประชาสัมพันธ์หรือทำการตลาดออกไปแล้ว ลูกค้าจะเกิดความสับสนขึ้นได้ การตั้งชื่อตามที่อยู่หรือแหล่งผลิตก็เช่นกันต้องพึ่งต้องระวังไม่ให้ซ้ำกัน เช่น ตั้งชื่อตามจังหวัด อำเภอ ตำบล ตัวอย่าง น้ำพริกศรีราชา , กล้วยตาก บางกระทุ่ม เป็นต้น
จูงใจ คือ ชื่อที่ดีต้องจูงใจ เร้าใจ โดน ปัจจุบันนี้แม้แต่ชื่อหนังสือ ชื่อเพลง ก็ต้องออกมาในเชิงการจูงใจด้วยถึงจะขายดีหรือมีคนสนใจอยากที่จะติดตามฟัง เช่น เพลงรักเมียที่สุดในโลก ,เพลงเรื่องบนเตียง เป็นต้น
จดจำได้ง่าย คือ ชื่อที่ดี หากว่าทำการโฆษณา ทำการประชาสัมพันธ์ออกไป ไม่นาน คนก็สามารถจดจำกันได้ในทันที
ฉะนั้น การตั้งชื่อจึงเป็นกลยุทธ์หนึ่งของการทำการตลาด และเป็นเรื่องที่นักการตลาดไม่ควรละเลยในการตั้งชื่อให้เหมาะสมกับตัวสินค้า
กลยุทธ์โปรโมชั่นมิกซ์ คือ การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การขายโดยตรงและการส่งเสริมการขาย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ ส่วนผสมทางการตลาด”
การโฆษณา เป็นสิ่งที่มีความจำเป็น เพราะหากว่าเรามีสินค้าดี แต่เราไม่สามารถทำให้คนรู้จักในวงที่กว้าง ก็จะทำให้ยอดขายของเราน้อย ซึ่งการโฆษณาที่ดีควรคำนึงถึงเรื่องของ การเข้าถึงคนจำนวนมาก , ค่าใช้จ่ายในการซื้อสื่อโฆษณา , การสร้างความถี่ในการโฆษณา เป็นต้น
การประชาสัมพันธ์ เป็นการใช้สื่อเพื่อกระจายข่าวให้แก่สาธารณชน ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการโฆษณา อีกทั้งในยุคปัจจุบัน นักการตลาดมักให้ความสนใจในเรื่องของการประชาสัมพันธ์กันมากขึ้น ก็เนื่องมาจาก การประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการโฆษณา อีกทั้งสามารถจูงใจ สร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่าด้วย
การขายโดยตรง เป็นการใช้พนักงานขายเป็นสื่อในการขายโดยตรง เพราะการอธิบายสินค้าโดยพนักงานขายจะทำให้ลูกค้าเกิดความเข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจลูกค้าสามารถซักถามได้ทันที อีกทั้งหากพนักงานขายมีความสามารถในการนำเสนอ ก็สามารถจูงใจลูกค้าให้ซื้อสินค้าได้มากกว่า การขายโดยผ่านทางสื่อต่างๆ
การส่งเสริมการขาย เป็นการจูงใจหรือเป็นการกระตุ้นยอดขายวิธีหนึ่งโดยผ่านช่องทางดังนี้ 1.ผ่านพนักงานขาย อาจให้ค่าคอมมิชั่นแก่พนักงานขายเพิ่มขึ้น 2.ผ่านทางร้านค้า อาจให้ผลประโยชน์ส่วนลดแก่ร้านค้า 3.ผ่านทางผู้บริโภคหรือลูกค้าโดยตรง เช่น ลด แลก แจก แถม
ทั้งนี้ การใช้กลยุทธ์โปรโมชั่นมิกซ์ ควรคำนึงถึง ปัจจัยเหล่านี้ด้วย 1.จังหวะเวลาหรือช่วงเวลาในการนำไปใช้ 2.ความเหมาะสมหรือความสอดคล้องกับสินค้าหรือบริการของเรา และ 3.งบประมาณ มีความสำคัญมากๆ เพราะถ้าหากเรามีงบประมาณที่จำกัด การใช้โปรโมชั่นมิกซ์ บางอย่างอาจจะทำไม่ได้เป็นต้น
กลยุทธ์สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ส่วนใหญ่ นักการตลาดมักใช้เรื่องของ การลดต้นทุน การสร้างความแตกต่างไปในทางที่ดีกว่าคู่แข่งขัน และความรวดเร็ว
การลดต้นทุน เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางการตลาด เพราะว่าหากว่าเราขายสินค้าที่ถูกกว่า แต่มีคุณภาพเท่ากัน ลูกค้าก็มักจะซื้อสินค้าของเรามากกว่าคู่แข่ง นักการตลาดจึงต้องหาวิธีในการลดต้นทุนลงเพื่อที่จะได้ขายสินค้าในราคาถูกกว่าคู่แข่งขัน
การสร้างความแตกต่างไปในทางที่ดีกว่าคู่แข่งขัน เป็นกลยุทธ์หนึ่ง ที่ทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าจากเรา หากว่าเราไม่สามารถทำให้ต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่งได้ นักการตลาดที่ดีก็ควรเลือกกลยุทธ์ในการสร้างความแตกต่างไปในทางที่ดีกว่าสินค้าของคู่แข่งขัน การสร้างความแตกต่างจะทำให้ลูกค้าไม่สามารถอ้างได้ว่า สินค้าคู่แข่งถูกกว่า ก็เนื่องจากว่าสินค้า ไม่เหมือนกันหรือแตกต่างกันนั้นเอง จึงทำให้การตั้งราคามีความแตกต่างกัน
ความรวดเร็ว เป็นกลยุทธ์หนึ่ง ที่ทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการจากเรา ถ้าสมมุติว่า เราจะเลือกซื้อสินค้าชนิดหนึ่ง เราเข้าไปในร้าน 3 ร้าน ร้านที่ 1 บอกว่า หากจ่ายเงินวันนี้จะได้ของอีก 7 วัน สำหรับร้านที่ 2 บอกว่า ถ้าจ่ายเงินวันนี้มารับของได้เลยอีก 3 วัน และร้านที่ 3 บอกว่า ถ้าจ่ายเงินวันนี้ เดี๋ยว 5 นาที รอรับของได้เลย ถามว่า เราจะเลือกซื้อร้านไหน ถ้าปัจจัยอื่นๆ มีความเหมือนกันทุกประการ คำตอบก็คือ เราเกือบทุกคนจะเลือกร้านที่ 3
ฉะนั้น กลยุทธ์การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน จึงเป็นตัวกำหนดยุทธศาสตร์ในระยะยาวในการต่อสู้สมรภูมิทางการตลาด ว่าเราจะเลือกเดินในทิศทางใด
กลยุทธ์การนำสินค้าใหม่เข้าตลาด ในยุคปัจจุบัน มีสินค้ามากมายให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ การนำเสนอสินค้าใหม่เพื่อเข้าตลาด จึงมีความสำคัญมากเพราะหากว่าถ้าเข้าผิดที่ ผิดเวลา หรือไม่ได้รับการยอมรับจากลูกค้า สินค้านั้นก็จะตายไปจากตลาดในที่สุด ดังนั้น การนำสินค้าใหม่เข้าตลาดจึงควรคำนึงถึงปัจจัยดังนี้
การตั้งราคาสินค้าใหม่ (จะตั้งราคาต่ำกว่า สูงกว่าหรือเท่ากับคู่แข่งขัน), กลยุทธ์การโฆษณาสินค้าใหม่(การใช้สื่อต่างๆในการโฆษณา ช่วงจังหวะในการโฆษณา ความถี่ในการโฆษณา งบประมาณในการโฆษณา) , กลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด( 4 P ผลิตภัณฑ์ ช่องทางการจัดจำหน่าย ราคาและการส่งเสริมการตลาด)
กลยุทธ์แห่งสงคราม เป็นการปรับพิชัยสงครามของจีนเพื่อนำมาใช้ในทางการตลาด เช่น กลยุทธ์แบบกองโจร , กลยุทธ์การตีปีกข้าง , กลยุทธ์การตีโอบ , กลยุทธ์การโจมตีแบบเผชิญหน้า เป็นต้น
ฉะนั้น นักการตลาดที่ดีและเก่ง ควรทำการศึกษาและเรียนรู้ ศาสตร์ทางการตลาดทั้งใหม่และเก่าอยู่เสมอ อีกทั้งต้องมีศิลปะในการนำเอาศาสตร์ทางการตลาดมาประยุกต์ เพื่อที่จะได้นำศาสตร์ต่างๆไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
...
  
เพศกับวัยรุ่น
ปัญหาเรื่องเพศของวัยรุ่นไทย

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)

นับวันปัญหาของวัยรุ่นไทย นับวันยิ่งมีมากขึ้น รุนแรงขึ้น กว่าในอดีต ไม่เป็นจะเป็นเรื่องของการใช้ความรุนแรง การขายตัว การใช้จ่ายฟุ่มเฟือย การหนีเรียน การติดเกมส์ การติดเพื่อน และ การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ฯลฯ


ถ้าจะให้กระผมเขียนถึงปัญหาต่างๆ ของวัยรุ่นไทย คงต้องใช้พื้นที่สื่อจำนวนมากและไม่สามารถเขียนบรรยายได้ครอบคลุมทั้งหมด เนื่องจากปัญหาหนึ่งมีความเกี่ยวโยงกับอีกปัญหาหนึ่งเหมือน เชือกที่มีปม หลายปม ติดกัน แก้ปมหนึ่ง ออกก็ติดอีกปมหนึ่ง


ในวันนี้กระผมของพูดเพียงปัญหาเดียว คือ ปัญหาเรื่องเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นไทย ซึ่งนับวันจะรุนแรง และซับซ้อนขึ้นทุกขณะ

ดังเช่น เรามักจะเห็นในข่าวหน้าหนึ่งทางหน้าหนังสือพิมพ์ และสื่อต่างๆ เมื่อวันก่อน

- “ รวบ 3 นักศึกษาสาว ขายตัวทาง HI5 อ้างหลงผิด-ใช้เงินฟุ่มเฟือย ”


- รายการ คม ชัด ลึก ประจำวันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ ตอน "ขายตัว สวิงกิ้ง-ความเหลวแหลกวัยรุ่น" ได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวมาพูดกันในรายการ เพื่อร่วมเสนอทางออกของปัญหา


- รวบแม่เล้าสาว ม.2พาเพื่อนส่งเสี่ยขายตัว จากหนังสือพิมพ์รายวัน เชียงใหม่นิวส์


- และมีอีกหลากหลายข่าวตามสื่อต่างๆ


ปัญหาเหล่านี้ มักทำให้ผู้ปกครองของเด็กวัยรุ่นโดยเฉพาะวัยรุ่นตอนต้น กังวัลใจซึ่งวัยรุ่นตอนต้น(อายุประมาณ 12-15 ปี) ซึ่งในทางวิชาการ วัยรุ่นหญิงจะมีพัฒนาการทางเพศเร็วกว่าวัยรุ่นชายเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นตอน 12 ปี มักเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ เช่น เริ่มมีประจำเดือน เต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้น น้ำเสียงเริ่มใสและเล็กลง สะโพกผาย สำหรับเพศชายก็เริ่มตอนอายุ 14 ปี มักจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเพศ คือ องคชาต อัณฑะ เริ่มมีการผลิต น้ำกามจากต่อมลูกหมาก เริ่มมีอสุจิจากอัณฑะ


จากสถิติปี 2549 พบว่า มีอัตราการติดเชื้อเอดส์ในหญิงตั้งครรภ์อายุ 15-19 ปี ร้อยละ 0.44 ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่เคยพบ


ปี 2550 มีผู้ติดเชื้อเอชไอวี และ ผู้ป่วยเอดส์ในประเทศประมาณ 1,102,628 ราย เสียเชีวิตแล้ว 558,895 ราย


และพบว่า นักเรียนระดับมัธยมทั้งชายและหญิงมีเพศสัมพันธ์กันมากขึ้น(ที่มา จากหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์)


ดังนั้น ผู้ปกครองควรให้ความรู้และสร้างความเข้าใจกับลูกๆ ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนต้น ซึ่งในภาวะปัจจุบัน มีความน่ากลัวมากสำหรับเรื่องเพศในวันรุ่น เช่น ปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ การติดเชื้อ กามโรค หนองใน โดยเฉพาะโรคเอดส์ ซึ่งกำลังแพร่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน


รวมทั้งควรเฝ้าระวัง สื่อต่างๆ ที่เป็นสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศ เช่น อินเตอร์เน็ต VCD DVDรวมทั้งหนังสือลามกต่างๆ


อีกทั้งระวังเรื่องของการจ่ายเงินที่ฟุ่มเฟือยเพื่อซื้อสิ่งของที่ไม่เป็นประโยชน์ และเป็นภัยต่อร่างกาย เช่น โทรศัพท์มือถือ เสื้อผ้าที่ทันสมัย เหล้า บุหรี่ รวมไปถึงยาเสพติด เพราะถ้าเด็กมีความต้องการสิ่งเหล่านี้มากๆ ถ้าไม่มีเงินก็จะไปขายตัวเพื่อมาซื้อสิ่งเหล่านี้ได้




...
  
ประชาคมอาเซียน : ความท้าทายใหม่ทางวิชาชีพการโรงแรมและการท่องเที่ยว
ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ บรรยายหัวข้อ ประชาคมอาเซียน : ความท้าทายใหม่ทางวิชาชีพการโรงแรมและการท่องเที่ยว ให้แก่ นิสิตสาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต ณ โรงแรม เดอะแกรนด์ โฟร์วิงส์ คอนเวชั่น ...
  
โมติเวท : คิดแบบเศรษฐี
โมติเวท : คิดแบบเศรษฐี
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เศรษฐีกับคนธรรมดาโดยทั่วไปมักมีอะไรๆที่ไม่แตกต่างกัน เช่น ร่างกาย จิตใจ การแต่งตัว แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างเศรษฐีกับคนธรรมดาก็คือเรื่องของความคิด เช่น
1.เศรษฐีมักกุมชะตาชีวิตของตนเอง สร้างโอกาส มากกว่ารอคอยโชคชะตาหรือความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่คนธรรมดาโดยทั่วไปมักปล่อยชีวิตให้ไปเป็นตามกรรมหรือโชคชะตา เศรษฐีหรือมหาเศรษฐีมักเป็นนักสร้างโอกาสเพราะในโลกนี้เต็มไปด้วยโอกาส ความสำเร็จหรือโอกาสทุกอย่าง เป็นสิ่งที่เศรษฐีต้องเดินไปหามัน ไม่ใช่ให้ความสำเร็จหรือโอกาสมาหาเรา
2.เศรษฐีมักปลดปล่อยศักยภาพของตนเองออกมาอย่างเต็มที่ เขาจะเป็นคนที่ทุ่มเทเพื่อความสำเร็จ ส่วนคนธรรมดาโดยทั่วไปมักไม่ยอมเอาศักยภาพออกมาใช้อย่างเต็มกำลัง ความสามารถ
3.เศรษฐีมักเลือกคบคนที่ประสบความสำเร็จ มองโลกในแง่ดี ตรงกันข้ามกับคนธรรมดาโดยทั่วไปมักอยู่กับคนที่ชอบมองโลกในแง่ร้ายหรือเป็นคนล้มเหลว ดังนั้นการเลือกคบคนจึงมีความสำคัญ ดังคำกล่าวที่ว่า “ เราจะมีนิสัยและพฤติกรรมคล้ายคลึงกับคนที่เราคบจำนวน 5 คนที่เราสนิทด้วย”
4.เศรษฐีมักสนใจในเรื่องของมูลค่าทรัพย์สิน เขาจะใช้เงินลงทุนซื้อทรัพย์สินต่างๆ เช่น ที่ดิน หุ้น บ้านเพื่อให้เช่า พันธบัตร ทองคำ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำรายได้ให้เศรษฐีมากมายมหาศาล แต่ตรงกันข้ามกับ คนธรรมดาโดยทั่วไปมักเลือกที่จะหารายได้จากการทำงาน แทนที่จะเลือกให้เงินทำงานแทน
5.เศรษฐีมักชอบเรียนรู้ พัฒนาตนเอง ตลอดเวลา เขาจะเอาจริงเอาจัง เช่น เขาจะเป็นคนที่อ่านหนังสือมาก ฟังเทปมาก เข้ารับการอบรมเรื่องการเงินและการพัฒนาตนเองเป็นประจำ จึงทำให้เขาเจริญเติบโต ร่ำรวย มีเวลาว่างมากขึ้น แต่คนโดยทั่วไปมักคิดว่าตนเองรู้ดีแล้ว จึงไม่ยอมที่จะพัฒนาตนเอง
6.เศรษฐีมักชอบเสี่ยง ชอบทำงานโดยมุ่งไปข้างหน้าแม้ทางข้างหน้าจะมีความเสี่ยงภัย เขากลัวก็จริงแต่เขาไม่หยุดยั้ง ตรงกันข้ามกับคนธรรมดามักปล่อยให้ความกลัวมาครอบงำเขาจึงไม่กล้าเดินหน้าต่อไป
7.เศรษฐีมักชอบนำเสนอตนเอง โฆษณาตนเอง เพราะเขามีความคิดที่บวก แต่คนธรรมดามักมองในแง่ลบต่อคนที่นำเสนอตนเอง โฆษณาตนเอง ดังนั้น เขาจึงไม่ค่อยจะกล้านำเสนอตนเองหรือโฆษณาตนเอง
8.เศรษฐีมักมองปัญหาต่างๆเป็นเรื่องเล็กน้อย สามารถแก้ไขได้ และเขาจะจดจ่อต่อเป้าหมายมากกว่าคิดถึงแต่เรื่องของปัญหาอุปสรรค แต่ตรงกันข้ามคนธรรมดามักมองปัญหาเพียงเล็กน้อยแล้วคิดว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่ ไม่สามารถแก้ไขได้ และมักจะจดจ่ออยู่กับตัวของปัญหาอุปสรรคมากกว่าเป้าหมายที่ตนเองต้องการหรือคนธรรมดาส่วนใหญ่มักเป็นคนที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิต
9.เศรษฐีมักมีความคิดใหญ่ คิดบวก มองโลกในแง่ดี คนธรรมดาทั่วไปมักคิดเล็ก ไม่ค่อยมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ มองโลกในแง่ร้าย คิดลบ
ดังนั้น เศรษฐีกับคนธรรมดามีข้อแตกต่างกันดังข้อความข้างต้น เราทุกคนสามารถเป็นเศรษฐีหรือประสบความสำเร็จได้ หากว่าเรามีความต้องการมันอย่างจริงจัง อีกทั้งต้องหมกมุ่นถึงมันบ่อยๆ มีการวางเป้าหมายที่ชัดเจนถึงสิ่งที่เราต้องการ แล้วท่านก็จะเป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นเศรษฐีและประสบความสำเร็จในชีวิตดังสิ่งที่ท่านหวัง

...
  
การจัดการเวลา 8+8+8
จัดการเวลา 8+8+8
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ภายในชีวิตของคนเรามีเวลาเท่ากันกล่าวคือ วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมงเท่ากันทุกๆคน ไม่ว่าเราจะประกอบอาชีพอะไร ไม่ว่าเราจะมีชนชาติใด ไม่ว่าเราจะมีฐานะร่ำรวยสักปานใด เราก็มีเวลาเท่ากันทุกๆคน ภายในโลกกลมๆนี้
การจัดการเวลาหรือการบริหารเวลา จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งการจัดการเวลามีหลากหลายรูปแบบ และมีเทคนิคที่หลากหลาย แต่ในบทความฉบับนี้ จะกล่าวในเรื่องของการจัดการเวลาในรูปแบบ 8+8+8
8 ชั่วโมงสำหรับการนอน การพักผ่อน 8 ชั่วโมงสำหรับการทำงาน และ 8 ชั่วโมงสำหรับการทำกิจกรรมอื่นๆ เช่นการเดินทาง การกิน การพูดคุย การเล่น Facebook เป็นต้น
ซึ่งการจัดการในรูปแบบ 8+8+8 นี้ เราสามารถยืดหยุ่นได้ อีกทั้งเราสามารถลด เพิ่ม เวลาในด้านต่างๆ เช่น หากเราลดเวลานอนลงไปให้น้อยกว่า 8 ชั่วโมง สมมุติเหลือ 6 ชั่วโมง เราจะมีเวลาสำหรับการทำงานหรือการทำกิจกรรมต่างๆได้มากขึ้นอีก 2 ชั่วโมง หรือ บางคนอาจมีเวลาทำงานถึง 12 ชั่วโมง ก็โดยการลดเวลาด้านการนอนและลดเวลาด้านการทำกิจกรรมอื่นๆ ลง เพื่อให้ได้มีเวลาในการทำงานมากขึ้น
ทั้งนี้ การจัดการเวลาในรูปแบบ 8+8+8 นี้ ไม่มีหลักเกณฑ์ในการแบ่งเวลาแบบตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลจะนำไปประยุกต์ใช้ อีกทั้งหากว่าเวลาในด้านใดน้อยจนเกินไป เราก็สามารถหาเทคนิคต่างๆเข้ามาใช้ เช่น บางคนใช้เวลานอนน้อยเกินไป จนทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เราก็อาจจะใช้เทคนิค การงีบ การหยุดพักผ่อน เข้าช่วย
อดีตประธานาธิบดี หลายๆท่าน ใช้เวลาทำงานและใช้เวลาในการทำกิจกรรมอื่นๆมาก เช่นต้องเดินทางไปในที่ต่างๆเพื่อหาเสียง เพื่อบริหารบ้านเมือง ทำให้มีเวลานอนน้อยลง เขาจึงใช้วิธีการงีบ เป็นช่วงๆ เช่น งีบบนเครื่องบินในระหว่างเดินทางไปในที่ต่างๆ , งีบตอนพักเที่ยง เป็นต้น
ฉะนั้น ถ้าอยากจัดการในรูปแบบ 8+8+8 ให้ได้ดีต้อง มีการวางแผน มีเครื่องมือช่วย อีกทั้งยังต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
มีการวางแผน เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นและมีความสำคัญมากในการจัดการเวลา เพราะหากไม่มีการวางแผน เราคงไม่มีทิศทาง ไม่มีเป้าหมาย เราจะใช้เวลาไปวันๆ แต่มีผลงานน้อยกว่า บุคคลที่มีแผนการในการทำงาน บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักมีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน เช่น วางแผนรายวัน วางแผนรายสัปดาห์ วางแผนรายปี วางแผนราย 3 ปี วางแผนราย 5 ปี วางแผนราย 10 ปี เป็นต้น
มีเครื่องมือช่วย เช่น ไดอารี่ , สมุดบันทึก , ใบแผนปฏิบัติงาน , คอมพิวเตอร์ , โทรศัพท์ และอุปกรณ์เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีความทันสมัย สามารถช่วยให้เราทำงานได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ก็มีส่วนสำคัญ ในการจัดการเวลา เพราะการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะทำให้เพิ่มหรือลดเวลาของเราได้ เช่น ในกรุงเทพฯมีปัญหาเรื่องรถติด ทำให้หลายๆคนต้องเสียเวลาเดินทางไปทำงานตอนเช้าและเสียเวลาเดินทางกลับ เป็นจำนวน 2-3 ชั่วโมงต่อวัน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการตื่นให้เช้าขึ้น เดินทางให้เช้ามากขึ้น เพื่อลดปัญหาในการเดินทางที่เกิดจากการจราจรติดขัด หรือ เราอาจจะเดินทางกลับจากที่ทำงานถึงบ้าน ช้าลงอีก โดยใช้เวลาทำงานอยู่ในที่ทำงาน ก็จะทำให้เรามีเวลาทำงานเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งเสียเวลาเดินทางน้อยลง
พฤติกรรมการเล่น Facebook และพฤติกรรมการเล่น Social Network ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้การจัดการเวลาของเราไม่ดีเท่าที่ควรหรือขาดความสมดุล เพราะบางคนเล่นมากจนเกินไปทำให้ขาดการพักผ่อน อีกทั้งทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดน้อยลงไป หากต้องการการจัดเวลาให้ดีขึ้น เราควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ เช่น เราจำเป็นจะต้องมีวินัยมากขึ้น บังคับตัวเอง สร้างตารางเวลาการจัดการเวลาให้แก่ตนเอง ตัวอย่าง เราจะใช้ Social Network ทุกวันไม่เกิน 30 นาที เป็นต้น
ดังนั้น การจัดการเวลา 8+8+8 จึงเป็นการจัดการเวลารูปแบบหนึ่ง ที่เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ง่าย สำหรับปัจจัยที่ทำให้การจัดการเวลาไม่มีประสิทธิภาพ คงขึ้นอยู่กับ สภาพแวดล้อม (รถติด,ฝนตก,น้ำท่วม,ไฟดับ,แผ่นดินไหว) ขึ้นอยู่กับบุคคลอื่นๆ(เจ้านาย,ลูกน้อง,พ่อแม่,ลูก)และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้การจัดการเวลาไม่มีประสิทธิภาพก็คงขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง


...
  
ทีม
ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากคนเพียงคนเดียว

โดย...ดร.สุทธิชัย ปํญญโรจน์(ดร.โทนี่)


“ ส่วนผสมเดียวที่สำคัญที่สุดในสูตรแห่งความสำเร็จก็คือ การรู้จักเข้ากับคนอื่น”


เป็นคำพูดของ ธีโอดอร์ รูสเวลท์ (อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา)


ในโลกของธุรกิจ ในโลกของการเมือง ในโลกของการแข่งขัน ไม่มีใครจะประสบความสำเร็จโดยไม่พึ่งพาผู้อื่น หรือ ทีมงาน หรือที่มักจะได้ยินคำพังเพยเรียกกันว่า “ สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว”


บิลล์ เกตส์ มหาเศรษฐีระดับโลก ร่ำรวยมาได้ก็ด้วยการพึ่งพาคนอื่นๆ ไม่ได้เกิดจากความสามารถของตนเองแต่เพียงผู้เดียว บิลล์ เกตส์ ถึงแม้จะเก่งคอมพิวเตอร์ก็จริง แต่การจะขายของ การผลิต การคิดสิ่งใหม่ๆ และการขยายตลาดได้ ก็จำเป็นจะต้องอาศัยคนจำนวนมากหรือทีมงานคอยช่วยเหลือ


ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์(ซี.พี) นั้น มีธุรกิจมากมายในเครือ ซึ่งนับว่าเป็นมหาเศรษฐีระดับชาติ ระดับโลก เลยทีเดียว แต่ที่แน่ๆ คือ เจ้าสัวมีทีมงานที่จบการศึกษาขั้นต่ำปริญญาตรี และผู้บริหารส่วนมากมีคำว่า “ ดอกเตอร์” นำหน้าอีกต่างหาก ในขณะที่เจ้าสัวมีการศึกษาในระบบแค่ระดับชั้นประถมปีที่ 4


เทียม โชควัฒนา เจ้าสัวแห่งสหพัฒนพิบูล ก็มีความรู้น้อยจบการศึกษาในระบบน้อย แต่ก็ประสบความสำเร็จในการสร้างธุรกิจในเครือสหพัฒนพิบูล ก็ด้วยการอาศัยลูกน้องที่มีความรู้ ความสามารถ หลายคนมาช่วยเหลือ และความมีใจกว้าง เจ้าสัวเทียมกล่าวว่า “ คนเราต้องมีใจกว้างต้องถ่ายทอดความรู้ของตนเองให้กับลูกน้อง เพราะยิ่งถ่ายทอดเราก็ยิ่งรู้มาก เหมือนดังดาบยิ่งใช้ยิ่งคม


เล่าปี่ ในหนังสือ “ สามก๊ก ” สร้างอาณาจักรของตนเองขึ้นก็โดยอาศัยผู้อื่นหรือทีมงานที่มีฝีมือมาช่วย โดยความอ่อนน้อมถ่อมตน การมีจิตวิทยาจึงสามารถสร้างอาณาจักรได้ ซึ่งเราจะเห็นว่า เล่าปี่ ประสบความสำเร็จก็เพราะมี คนเก่งอย่าง ขงเบ้ง กวนอู จูล่ง ฯลฯ มาช่วย ถ้าเล่าปี่เก่งอยู่คนเดียว โดยไม่มีคนอื่นช่วยก็คงไม่สามารถสร้างอาณาจักรของตนเองได้


ผู้ที่ประสบความสำเร็จอีกหลายๆคน ก็ไม่ใช่คนที่มีลักษณะเก่งคนเดียว แต่ตรงกันข้ามคนเหล่านั้นมีคนเก่งมาช่วยงานอย่างมากมาย จนเกิดความร่ำรวย องค์การก้าวหน้า เติบโตขึ้น หรืออาจเรียกว่าต้องรู้จักทำงานเป็นทีม


การทำงานเป็นทีมทำให้เกิดพลังประสาน ซึ่งทำให้ 1+1 มีค่ามากกว่า 2 การทำงานเป็นทีมต้องอาศัย การร่วมใจ คือ สมาชิกในทีมต้องมีความศรัทธาต่อหัวหน้าทีม รักสามัคคีกัน การทำงานเป็นทีมต้องอาศัย การร่วมคิด คือ ช่วยกันระดมความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร ด้วยเหตุผล โดยกำหนดเป้าหมายร่วมกัน วางแผน แบ่งงาน แบ่งหน้าที่กัน การทำงานเป็นทีมต้องอาศัย การร่วมทำ คือ ร่วมมือกันทำงานตามแผนที่ได้วางไว้


ผู้ที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีภาวะผู้นำ ภาวะผู้นำ คือ กระบวนการที่บุคคลหนึ่ง(ผู้นำ)ใช้อิทธิพลและอำนาจของตนกระตุ้นชี้นำให้บุคคลอื่น(ผู้ตาม) มีความกระตือรือร้น เต็มใจทำในสิ่งที่เขาต้องการ โดยมีเป้าหมายขององค์การเป็นจุดหมายปลายทาง(พยอม วงศ์สารศรี, 2534:196)


และ ผู้ที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีจิตใจที่กว้างขวาง ไม่สร้างศัตรูให้ยิ่งใหญ่เกินไป และที่สำคัญก็ต้องเปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตรให้ได้ ดังคำพูดที่ว่า “ มีเพื่อนร้อยคนยังน้อยไปมีศัตรูคนเดียวมากเกินไปแล้ว”




















...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  [98]  [99]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.