หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
เป้าหมายกับการบริหารเวลา
เป้าหมายกับการบริหารเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนเรามีเวลาเท่ากัน แต่สิ่งที่น่าแปลก ก็คือว่า ทำไม คนบางคนถึงประสบความสำเร็จ แต่บางคน แทบทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลย เช่น
หลายคนที่เป็นชาวมุสลิม ประสบความสำเร็จในการอ่าน คัมภีร์ อัลกุรอาน ทั้งเล่มตั้งแต่ต้นจนจบ สามารถเข้าใจ จดจำ ได้ตั้งแต่เมื่ออายุยังน้อย
หลายคนที่เป็นชาวพุทธ ก็เช่นกัน สามารถอ่านพระไตรปิฎก โดยทราบเรื่องราวต่างๆทั้งเล่ม ตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี ก็สามารถจดจำ พระไตรปิฎก ได้
ทั้งนี้ เนื่องจากเขามีเป้าหมายและความตั้งใจจริง เมื่อเขามีความต้องการหรือความปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะอ่านให้จบ แล้วมีการวางแผนการอ่าน ว่าจะต้องอ่านให้จบภายในกี่ปี แล้วเขาก็จะวางแผนต่อว่า ภายใน 1 เดือน จะต้องอ่านให้ได้กี่หน้า ภายใน 1 วัน จะต้องอ่านกี่หน้า แล้วก็ลงมือปฏิบัติ อ่านทุกๆวันด้วยความสม่ำเสมอ จนกระทั่ง อ่าน คัมภีร์ อัลกุรอานและพระไตรปิฏก จบ
หลายคนไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตก็เนื่องจากไม่มีเป้าหมาย หลายคนเริ่มรู้จักคุณค่าของเวลาก็ต่อเมื่อ ตนเองเจ็บป่วยอย่างหนัก ใกล้ตาย เมื่อผ่านพ้นจุดนั้นมาได้ จึงเริ่มรู้จักคุณค่าของเวลาอย่างแท้จริง
ดังนั้น หากท่านต้องการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ท่านควรทราบเสียก่อนว่า ท่านมีความต้องการหรือความปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะเป็นอะไร ที่จะทำอะไร แล้วเริ่มวางแผน เริ่มลงมือปฏิบัติ แล้วท่านจะพบว่า เมื่อเวลาผ่านไป ท่านก็จะเดินทางเข้าใกล้เป้าหมายในทุกขณะ
แต่ทั้งนี้ คนที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ล้มเหลว จะแตกต่างกัน กล่าวคือ เมื่อเดินทางเข้าใกล้เป้าหมาย คนที่ประสบความสำเร็จ จะอดทน จะใจเย็น เพราะการเดินทางต้องใช้เวลานาน แต่ตรงกันข้าม คนที่ล้มเหลว ก็มักจะเลิกล้ม ไประหว่างทาง จึงทำให้เขาไปไม่ถึงเป้าหมาย
หลักการบริหารเวลา มีนักวิชาการได้แบ่งการใช้เวลาออกเป็น 8 8 8 กล่าวคือ 1 วันมี 24 ชั่วโมง เรามักใช้เวลา 8 ชั่วโมง สำหรับการนอน เราใช้เวลา 8 ชั่วโมง สำหรับทำงาน และ เราใช้เวลา 8 ชั่วโมง สำหรับทำธุระส่วนตัว ซึ่งเวลา 8 ชั่วโมงหลังนี้ เป็นการแบ่งแยกผู้ที่ประสบความสำเร็จกับคนธรรดา นั่นเอง
คนธรรมดา คนทั่วไป มักใช้เวลา 8 ชั่วโมงหลังนี้ ส่วนใหญ่มักเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมาย โดยใช้เวลาไปอย่างไม่มีคุณค่า เช่น เล่นไลน์นานเกินไป , เล่น Facebook นานเกินไป , เดินห้างสรรพสินค้านานเกินไป , พูดคุยกันนานเกินไป ฯลฯ ถ้าหากว่าท่านต้องการที่จะประสบความสำเร็จ เพียงแต่ขอให้ท่านลดเวลาพวกนี้ลงไปให้ได้วันละ 1 ชั่วโมง ภายใน 1 ปี ท่านจะมีเวลาเหลือมากถึง 365 ชั่วโมง เลยทีเดียว
แล้วท่านสามารถนำเอาเวลาที่เหลือ 365 ชั่วโมงนี้ ไปใช้กับการทำงานหรืองานอดิเรกที่ท่านต้องการทำ หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายหรือสิ่งที่ท่านต้องการในชีวิต ท่านก็จะไปถึงเป้าหมายได้อย่างเร็วยิ่งขึ้น เพราะกฏแห่งความสำเร็จ เขาบอกว่า ถ้าเราทำงานอย่างหนักและต่อเนื่อง งานที่เราทำก็จะง่ายลงไปเรื่อยๆ
จงจดจ่อที่เป้าหมาย อย่าจดจ่อที่อุปสรรค จงจดจ่ออย่างเข้มข้นกับความฝัน แล้วคุณจะใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

...
  
การสร้างวินัยและงดผลัดวันประกันพรุ่ง
การสร้างวินัยและงดผลัดวันประกันพรุ่ง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนในยุคปัจจุบันนี้ มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากกว่าคนในยุคก่อน จึงทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปด้วยความสะดวกสบาย การเลี้ยงลูก การเลี้ยงหลานของคนในยุคนี้ ผู้ปกครองก็ไม่อยากให้ลูกหลานต้องลำบาก เลยเลี้ยงแบบสบายๆ ไม่มีการบังคับ จึงทำให้เด็กๆในยุคนี้ขาดความอดทน อีกทั้งไม่มีการสร้างวินัยให้แก่เด็กๆ ทำให้ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือ เด็กๆจะผลัดวันประกันพรุ่ง ในการทำสิ่งต่างๆ ขาดความกระตือรือร้นในการทำงานหรือการทำกิจกรรม
การขาดวินัยและการผลัดวันประกันพรุ่งนี้นี่เอง ที่ทำให้เรามีการบริหารเวลาได้ไม่ดี ลองนึกดูว่า ในการทำงาน เจ้านายเขาให้ส่งรายงานในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2558 แต่ถ้าเราไม่มีวินัยเพียงพอ เราก็จะทำรายงานไม่เสร็จ สาเหตุหนึ่งก็เนื่องมาจากว่าเราผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ
การสร้างวินัยจึงมีผลต่อการบริหารเวลา การสร้างวินัยจะทำให้การผลัดวันประกันพรุ่งลดน้อยลง ฉะนั้น การมีวินัยจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากที่จะทำให้คนประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงาน
แล้วคนที่มีวินัย คือคนอย่างไร คนที่มีวินัย มักเป็นคนที่ออกระเบียบ กฏเกณฑ์ ข้อบังคับ เพื่อที่จะมาใช้ควบคุมพฤติกรรมของตนเอง ซึ่งในการทำงานบางอย่าง เป็นงานยาก เป็นงานที่ไม่อยากที่จะทำ แต่คนที่มีวินัย เขาก็จะฝืนความรู้สึกของตนเอง แล้วพยายามทำตามระเบียบ กฏเกณฑ์ ที่เขาได้วางหรือกำหนดไว้ เขาจึงประสบความสำเร็จในงานที่ทำ
ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่มีวินัย เขาก็จะเลื่อนเวลาออกไปเรื่อยๆ ยิ่งเจองานยากก็ยิ่งไม่อยากทำ มีข้ออ้างต่างๆที่จะไม่ทำ เพื่อที่จะนำเอางานนั้นไปทำในวันพรุ่งนี้ พอวันพรุ่งนี้ก็ไม่ทำอีก ก็บอกว่าจะเก็บเอาไว้ทำในวันมะรืนนี้ พอถึงวันมะรืนนี้ก็ไม่ทำอีก ก็จะบอกว่า จะเอาเก็บเอาไว้ทำในวันมะเรื่องนี้ จึงทำให้งานนั้นไม่เสร็จตามที่ได้กำหนดเอาไว้
ฉะนั้น คนที่ประสบความสำเร็จจะเป็นคนที่มีความสามารถในการสร้างวินัยขึ้นในตนเอง ซึ่งทำให้เขาไม่เป็นคนผลัดวันประกันพรุ่ง การสร้างวินัยอาจจะต้องแลกกับบางสิ่งบางอย่าง เช่น เราต้องการลดน้ำหนักให้ได้ 5 กิโลกรัมภายใน 1 เดือน เราก็ต้องยอมที่จะอดทานอาหารที่เราชอบทาน เราก็ต้องเสียเวลาส่วนหนึ่งไปกับการออกกำลังกาย ทุกๆวัน
คน 2 คน ต้องการลดน้ำหนักให้ได้ 5 กิโลกรัมภายใน 1 เดือน คนหนึ่งมีวินัย ยอมที่จะอดทานของหวาน ของทอด และลดอาหาร 1 มื้อพร้อมกับวิ่งในตอนเย็นๆ วันละ 30 นาที ทุกๆวัน กับอีกคนหนึ่งไม่มีวินัย อีกทั้งเป็นคนพลัดวันประกันพรุ่ง ไม่ยอมที่จะงดของหวาน ของทอด พอเห็นแล้วอดไม่ได้ก็มักจะบอกกับตัวเองว่า เอาไว้งดทานในวันพรุ่งนี้ เป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป อีกทั้งไม่มีความสม่ำเสมอในการออกกำลังกาย ถามว่าคน 2 คนนี้ ใครจะสามารถลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ผมไม่ต้องตอบครับ ท่านผู้อ่านก็คงทราบคำตอบดี ฉะนั้น ถ้าท่านต้องการสร้างวินัยขึ้นในตนเอง ท่านก็ต้องเสียสละบางสิ่งบางอย่าง ท่านจะต้องมีความอดทน ท่านจะต้องมีความสม่ำเสมอและท่านจะต้องมีความเพียรพยายามในการทำสิ่งนั้น

...
  
ทำอย่างไรถึงจะฉลาดขึ้นอีก
ทำอย่างไรถึงจะฉลาดขึ้นอีก
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หลายคนที่มีความเชื่อในทางศาสนา อาจเชื่อว่า คนเราเกิดมามีความฉลาดแตกต่างกัน เนื่องมาจากได้ทำ ได้สะสมมาแต่ในชาติปางก่อนหรือในทางวิทยาศาสตร์ คนเราฉลาดหรือโง่หรือมี ไอคิวที่แตกต่างกันเนื่องมาจากการทอดถ่ายทางพันธุกรรม โดยส่วนตัวกระผมก็มีความเชื่อเหมือนกับคนส่วนใหญ่ แต่ทั้งนี้ คนเราสามารถฉลาดขึ้นได้อีก ก็โดยการพัฒนานิสัยดังต่อไปนี้
1.พยายามสังเกตุ และรู้จักตั้งคำถามต่างๆ เช่น ทำไม ทำไม ทำไม เมื่อท่านเกิดความสงสัย แล้วท่านพยายามสังเกตุ แล้วพยายามค้นหาคำตอบ เมื่อท่านค้นหาคำตอบ และท่านได้รับคำตอบ จากคำถามที่มีมาอย่างมากมาย ท่านก็จะเป็นคนที่ฉลาดขึ้น
2.พยายามอ่านหนังสือให้มากๆ โดยเฉพาะการอ่านหนังสือพิมพ์ เพราะการอ่านหนังสือพิมพ์จะทำให้เราทันโลก ทันเหตุการณ์ ความเคลื่อนไหวของโลก หรือ ความเคลื่อนไหวต่างๆของประเทศของเราและประเทศเพื่อนบ้าน
3.พยายามสร้างความแตกต่างหรือหาไอเดียที่แตกต่างกับคนอื่นๆ โลกเราเจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ก็ด้วยความคิดที่แตกต่างจากคนอื่นๆ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ พวกเราจะไม่มีวันได้เห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้เลย ถ้าทุกๆคนคิดเหมือนกัน แต่เมื่อมีคนคิดต่างหรือมีไอเดียใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้น
4.พยายามหาตัวอย่างมากๆหรือหาแบบอย่างมากๆ คนเราสามารถมีกำลังใจในการทำงานที่มากขึ้น มีความอดทนขึ้น มีความพยายามขึ้น ก็เนื่องมาจาก หลายคนได้หาบุคคลตัวอย่างหรือหาแบบอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จ เมื่อได้อ่านหรือดูตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว เขาก็จะเกิดกำลังใจในการทำงาน เกิดกำลังความคิดในการทำงาน
5.พยายามเอาชนะอุปสรรคต่างๆ แน่นอนในการทำงาน เราต้องเกิดปัญหา เกิดอุปสรรค เกิดความกลัว เกิดความกังวลใจ เกิดความเหนื่อยขึ้น แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จและมีความฉลาด มักจะผ่านพ้นสิ่งต่างๆเหล่านี้มาอย่างมากมาย
6.พยายามเข้าหาบุคคลหรือสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้ตนเองประสบความสำเร็จ มีนักวิชาการกล่าวไว้ว่า อนาคตของท่านจะเป็นอย่างไร ขอให้ดูบุคคลที่ท่านคบค้าสมาคมอย่างสนิทสนมกันเพียงแค่ 5 คน กล่าวคือบุคคลที่สนิทสนมกับท่านก็จะมีนิสัย ใจคอ คล้ายคลึงกับท่าน ฉะนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จในเรื่องใดๆ ท่านจะต้องเข้าหาบุคคลและเข้าหาสิ่งแวดล้อมนั้นๆ แล้วท่านจะประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
7.พยายามให้คนอื่นๆมากๆ โดยเฉพาะความรู้ ความรู้ไม่เหมือนกับเงินทอง กล่าวคือ เงินทอง เมื่อท่านหามาได้แล้วใช้มากๆ มันก็มีวันที่จะหมด แต่ความรู้ของคนเรา เมื่อท่านหามาได้แล้วยิ่งใช้มากๆ ยิ่งพยายามให้คนอื่นๆมาก พยายามแบ่งปันคนอื่นๆมากๆ ท่านก็จะมีความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น มีความฉลาดมากขึ้น
8.พยายามเขียนบันทึก การเขียนบันทึกมีข้อดีหลายๆอย่าง เช่น เมื่อท่านได้รับความรู้เรื่องใดๆ ถ้าท่านไม่พยายามเขียน ไม่พยายามบันทึก ความรู้นั้นๆ สักวันหนึ่งท่านก็จะลืมมันไป การเขียนบันทึกยังทำให้เรา เกิดความคิดที่มีเพิ่มเติมมากขึ้น และยังเกิดความคิดที่ทบทวน เกิดความคิดในการวิเคราะห์สิ่งต่างๆมากยิ่งขึ้น
9.พยายามค้นหาตัวเอง คนที่ฉลาดหรือมีความอัจฉริยะในตัวเอง มักเป็นคนที่รู้จักตนเอง เขาจะรู้ว่า เขามีความชอบอะไร รักอะไร ทำสิ่งไหนแล้วมีความสุข บุคคลที่รู้จักตนเอง จะเลือกทำในสิ่งที่ตนเองรัก เมื่อเขารู้ว่าเขาต้องการอะไร มีเป้าหมายอะไร เขาก็จะทำให้สิ่งนั้นได้อย่างยาวนาน เขาจะมีความอดทนต่อสิ่งต่างๆ เช่น คนประสบความสำเร็จบางคน รู้จักตัวเองว่า เขามีความสามารถในการพูด ในการบรรยาย เขาก็จะอดทน ฝึกฝน การพูด การบรรยายของเขา อย่างหนัก จนในที่สุดเขาก็เป็นบุคคลหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในวงการพูด ในวงการบรรยาย

...
  
หากต้องการเวลา....ต้องกล้าที่จะปฏฺิเสธ
หากต้องการเวลา....ต้องกล้าที่จะปฏิเสธ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย
www.drsuthichai.com
จงทำแต่งานของท่าน แต่อย่ารับงานของคนอื่นมาทำเสียเอง
ในบางครั้ง เวลาในการทำงานของเรา มีลดน้อยลง ก็เนื่องจากเราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ หลายคนมีงานที่ต้องทำเป็นจำนวนมาก งานบางงานต้องเร่งรีบส่ง ในเวลาที่มีจำกัด แต่มีนิสัยขี้เกรงใจคน ไม่กล้าที่จะปฏิเสธคน จึงทำให้เวลาในการทำงานมีน้อยลง เช่น
คนบางคน เวลามีคนชวนไปกินข้าวเที่ยงเป็นเวลานานๆ ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ แทนที่จะรีบ
ไปทานข้าวเที่ยง แล้วมาทำงานต่อ กับเสียเวลาในการพูดคุยกันในเวลากินข้าวเที่ยงหรือเสียเวลาในการรออาหารเป็นเวลานาน จึงทำให้เวลาทำงานของตนเองเหลือน้อยลง
คนบางคน เพื่อนชวนไปเดินเที่ยวซื้อของที่ตลาด บางคนเพื่อนชวนไปเป็นเพื่อนเพื่อ
ติดตามงาน(ของเพื่อน)ในสถานที่ติดต่องานราชการ ใน วัน เวลาทำงาน ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ จึงทำให้เวลาทำงานของตนเองน้อยลง
คนบางคนถูกเพื่อนหรือคนรู้จัก ขอร้องให้ช่วยทำงานของเขา แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ จึงทำให้เวลาในชีวิตของตนลดน้อยลง เช่น เพื่อนร่วมงานเรียนปริญญาโท แล้วให้ช่วยทำรายงานให้ ซึ่งงานเหล่านี้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องหรือมีความสำคัญกับเราเลย แต่ด้วยความที่ไม่กล้าปฏิเสธ จึงทำให้เวลาของเราเหลือน้อยลง
คนบางคน เพื่อนร่วมงานมาหาที่โต๊ะทำงาน แล้วก็ชวนพูดคุย นินทา ผู้คนต่างๆ เป็นเวลานานๆ แต่ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ ในการพูดคุยเป็นเวลานานๆ จึงทำให้เสียเวลาในการทำงานของตนเอง อีกทั้งงานที่จะส่งก็ล่าช้าตามไปด้วย
คนบางคน ขอร้องให้ช่วยไปซื้อของหรือฝากซื้อของ ยังสถานที่ต่างๆในเวลาทำงาน หรือ พักเที่ยงขอร้องให้เราไปจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าไฟฟ้า , ค่าน้ำประปา ,ค่าบัตรเครดิต , ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ หากว่าเราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ เวลาทำงานของเราก็จะลดน้อยลง
คนบางคน ใช้เวลาในการสนทนา ทาง Facebook หรือ สนทนาทาง Line ในเวลาทำงาน นานจนเกินไปและก็ไม่ใช่สนทนาเกี่ยวกับงานที่ตนเองทำ หากว่า เราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ เวลาในการทำงานของเราก็จะลดน้อยลง
คนบางคน ไปนั่งทานข้าวหรือนั่งกินกาแฟกับเพื่อน เป็นเวลานานๆ แต่มีงานที่จะต้องทำหรือมีธุระที่จะต้องทำ ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ หรือกล้าที่จะขอตัวแล้วลุกจากที่นั่ง หากว่า เราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ เวลาของเราก็จะลดน้อยลง
ดังนั้น หากท่านต้องการมีเวลาที่จะการทำงานมากขึ้น ท่านต้องกล้าที่จะปฏิเสธ อย่ารับงานของคนอื่นมาทำแทน เพราะ การเกรงใจหรือการไม่กล้าที่จะปฏิเสธ จะทำให้ท่านเสียเวลาในการทำงานของท่านลง มันเป็นผลเสียต่อตารางการทำงานของเรา ทั้งนี้ การปฏิเสธ ไม่ได้หมายรวมไปถึง งานที่เจ้านายหรือผู้บริหาร เขามอบหมายให้ เพราะนั้นคือหน้าที่ ความรับผิดชอบที่จะต้องทำ เพื่อความก้าวหน้า เพื่อตำแหน่ง เพื่อชีวิตของตนเอง
ต้องกล้าที่จะปฏิเสธ จึงเป็นหัวใจหนึ่งที่สำคัญในการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ

...
  
เทคนิคการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
เทคนิคการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ถามว่าคนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ทำไม คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต คนที่ทำงานหรือสร้างผลงานได้มากกว่าคนอื่นๆ จึงสามารถทำงานหรือสร้างผลงานได้มากกว่าคนเป็นจำนวนมาก คำตอบก็คือ คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักจะบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง ในบทความนี้ จึงขอเขียนเรื่อง “ เทคนิคการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ”
คนที่จะเป็นนักบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ เขาจะต้องเป็นคนที่ จัดระเบียบของกิจกรรมเป็น โดยมีเทคนิคดังนี้
1. คุณต้องเขียนกิจกรรมต่างๆหรือเป้าหมายที่คุณต้องการทั้งหมดลงในกระดาษ
2.คุณต้องเขียนเป้าหมายในชีวิต ว่าคุณต้องการประสบความสำเร็จในด้านใด เช่น ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จในการเป็นนักขาย คุณต้องมีเป้าหมายระยะยาว เป้าหมายระยะกลาง เป้าหมายระยะสั้น เป้าหมาย 1 ปี เป้าหมายรายเดือน เป้าหมายรายสัปดาห์ เป้าหมายรายวัน ที่คุณต้องการ ซึ่งอาจจะใช้เป้าหมายเป็นจำนวนเงินหรือยอดขายเป็นตัวตั้ง
3.คุณต้องแบ่งตัวเลขตามเป้าหมายต่างๆให้ชัดเจน เช่น คุณต้องการที่จะเป็นหัวหน้าฝ่าย คุณต้องไปดูข้อมูลหรือศึกษาข้อมูลเก่าๆว่า คุณสมบัติของหัวหน้าฝ่ายขายที่ผ่านมาหรือคนที่เป็นหัวหน้าฝ่ายขาย เขาจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง
4.คุณต้องแบ่งเป้าหมายออกเป็นส่วนๆ เช่น คุณสมบัติของการที่จะเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายขาย คุณจะต้องทำงานอย่างน้อย 3 ปี และมีผลงานทางด้านการขายสะสมไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท คราวนี้ คุณก็จะต้องมาแบ่งแยกเป็น เป้าหมายรายปี เป้าหมายรายเดือน เป้าหมายรายสัปดาห์และเป้าหมายรายวัน
กล่าวคือ อีก 3 ปี ข้างหน้า เราจะต้องมียอดขายสะสม 30 ล้านบาท เราจึงต้องแบ่งออกเป็น 3 ปีและเราจะต้องขายให้ได้ปีละ 10 ล้านบาท ยอดขายรายเดือนเดือนละ 8-9 แสนบาท ยอดขายรายสัปดาห์สัปดาห์ละ 2 แสนกว่าบาท ยอดขายรายวันวันละประมาณ 3 หมื่นบาท เป็นต้น
5.คุณต้องจัดลำดับความสำคัญของกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด โดยยึดหลัก กิจกรรม A B C D ก็ได้ เช่น แบ่งกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่สุดเป็น A กลุ่มลูกค้าระดับกลาง B กลุ่มลูกค้าระดับเล็ก C กลุ่มลูกค้ารายย่อย D (ซึ่งกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ A มียอดสั่งซื้อ 1-3 ล้านต่อปี ในขณะที่ลูกค้ารายย่อย D มียอดสั่งซื้อแค่ปีละ 5 หมื่นบาท ฉะนั้น หากว่าเราขายของให้ลูกค้ากลุ่ม A เพียงแค่ 1 คน จะเท่ากับยอดการสั่งซื้อสินค้าในกลุ่ม D ถึง 20-30 คนเลยทีเดียว ฉะนั้น นักขายชั้นเซียนจึงให้ความสำคัญกับลูกค้ารายใหญ่มากกว่าลูกค้ารายเล็ก ) เป็นต้น
6.คุณต้องหาเครื่องมือช่วย เช่น Computer , ipad , มือถือ , ไดอารี , สมุดนัดหมายงานหรือสมุดวางแผนงาน แล้วบันทึกสิ่งต่างๆลงไปในเครื่องมือที่คุณใช้
7.คุณต้องลงมือทำตามแผนที่คุณได้บันทึกลงไปในเครื่องมือของคุณ อย่างจริงจังและต้องมีวินัยในการปฏิบัติ
8.คุณต้องมีการทบทวน การทำงานของคุณทุกคืน ก่อนนอนว่า ทำไมคุณถึงทำไม่ได้ตามแผนที่คุณวาง แล้วคุณควรที่จะปรับปรุง พัฒนา แผน ต่างๆอย่างไร ต่อไปได้บ้าง แล้ววันพรุ่งนี้ คุณจะทำอะไร ไปพบลูกค้าคนไหน โทรศัทพ์นัดลูกค้าคนไหนบ้าง เป็นต้น
9.คุณต้อง ให้ความสำคัญกับคำว่า “สำคัญกว่าทำก่อน” โดยยึดตารางออกเป็น 4 ช่อง คือ 1.สำคัญและเร่งด่วน 2.สำคัญและไม่เร่งด่วน 3.ไม่สำคัญและเร่งด่วน 4.ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน เราควรให้น้ำหนักกับกิจกรรม ในช่องที่ 1และ2 ส่วนช่องที่ 3และ4 ควรลดจำนวนการใช้เวลาในช่องนี้ (ถ้าหากท่านผู้อ่านท่านใดสนใจ ลองไปศึกษาเพิ่มเติมหรือซื้อหนังสือเกี่ยวกับการบริหารเวลามาอ่านเพิ่มเติมได้ครับ ส่วนใหญ่หนังสือการบริหารเวลาจะมีการเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ)
10.คุณต้อง เรียนรู้เทคโนโลยี ในการช่วยทำงาน ปัจจุบัน เทคโนโลยี มีความทันสมัยและราคาถูกลงเป็นอันมากเมื่อเทียบกับคุณภาพการใช้งาน คุณควรเรียนรู้ เครื่องมือเหล่านี้ เช่น การใช้โทรศัพท์ให้เป็นประโยชน์ในการประสานงานการนัดลูกค้า ซึ่งในโทรศัพท์มือถือมีเครื่องมือช่วยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูปเอกสารต่างๆ เก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐาน , การโอนเงินฝากเงินโดยผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ,การเช็ค E-mail ,การบันทึกเสียงต่างๆ เมื่อคุณต้องเข้ารับการอบรม สัมมนาต่างๆ เพื่อเอามาฟัง , การดูคลิปการอบรม การบรรยายต่างๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ , การติดต่อลูกค้าหรือบุคคลต่างๆ ผ่าน Facebook ผ่าน Line , การขายของผ่านอินเตอร์เน็ตต่างๆ เป็นต้น
11.คุณต้อง พัฒนาตนเองด้วยมิติ การจัดการ PDCA คือ P (Planning) การวางแผน D (Do) การลงมือทำปฏิบัติตามแผน C (Check) ตรวจสอบและประเมินตนเอง A (Action) การปรับปรุงแก้ไขและพัฒนา
นี่คือเทคนิคการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพอย่างคร่าวๆ ซึ่งท่านผู้อ่านคงต้องไปศึกษาเพิ่มเติมในรายละเอียดต่างๆ และก็ลงมือปฏิบัติ แก้ไข ปรับปรุง ก็จะทำให้ท่านเป็นนักบริหารเวลาและใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
...
  
การพูดและการเป็นโฆษกที่ดี
การพูดและการเป็นโฆษกที่ดี
ดร. สุทธิชัยปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพิษณุโลก
www.drsuthichai.com
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของคำว่า
โฆษกหมายถึงผู้ประกาศ ผู้โฆษณา เช่นโฆษณาสถานีวิทยุ ผู้แถลงข่าว แทนเช่นโฆษกพรรคการเมือง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ได้ให้ความหมายของคำว่า
โฆษกหมายถึง ผู้ประกาศ ผู้โฆษณา หรือผู้แถลงข่าวแทน
ดังนั้น ความหมายของโฆษก โดยรวมก็คือ ผู้เป็นปากเป็นเสียงแทน ผู้ประกาศ ผู้โฆษณา ผู้ที่ทําหน้าที่ ส่งมอบข่าวสาร และข้อมูลต่างๆ ให้แก่สาธารณชน หรือประชาชนได้รับรู้
คุณลักษณะของการเป็นโฆษกที่ดีคือ
1 มีข้อมูลมีข่าวสารมีความรู้ มีความเข้าใจในเรื่องที่ตัวเองพูด
2 มีความน่าไว้วางใจมีความน่าเชื่อถือ
3 เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เป็นที่ชื่นชอบของสาธารณชนหรือสื่อมวลชน
4 มีความสามารถทางด้านการพูดการสื่อสาร
โฆษกควรมีทักษะในการสื่อสารที่ดีดังนี้
1 การใช้คำ อย่างถูกต้อง เหมาะสม
2 การใช้น้ำเสียง การใช้เสียง ประกอบ การพูดให้ถูกต้องกับสถานการณ์ นั้นๆ
3 การใช้อวัจนภาษา การใช้ท่าทางประกอบการพูด อย่างสอดคล้องเหมาะสม
จากเนื้อเพลง ผู้ใหญ่ลี
พศ 2504 ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม
ชาวบ้านต่างมาชุมนุม มาประชุมที่บ้านผู้ใหญ่ลี
ต่อไปนี้ผู้ใหญ่ลีจะขอกล่าว ถึงเรื่องราวที่ได้ประชุมมา
ทางการเขาสั่งมาว่า ทางการเขาสั่งมาว่า
ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ดเลี้ยงสุกร
ฝ่ายตาสีหัวคลอน ถามว่าสุกรนั้นคืออะไร
ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด
สุกรนั้นไซร้คือหมาน้อยธรรมดา
หมาน้อย หมาน้อยธรรมดา หมาน้อย หมาน้อยธรรมดา
จากเนื้อเพลงข้างต้น จะสะท้อนให้เห็นถึงการสื่อสารระหว่างข้าราชการหรือทางการกับชาวบ้าน ที่มีความผิดพลาด มีความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน เราสามารถนำมาวิเคราะห์โดยผ่าน กระบวนการสื่อสาร ว่า เกิดความผิดพลาดตรงไหน อย่างไร
กระบวนการสื่อสาร มีดังนี้
1 ผู้ส่งสาร 2 สาร 3 ช่องทาง 4 ผู้รับสาร
1 ผู้ส่งสาร คือ ข้าราชการ ผู้รับนโยบาย จากรัฐบาล มาส่งต่อให้กับผู้นำชุมชน
2 สาร คือ การส่งเสริมให้ชาวนาและเกษตรกร เลี้ยงเป็ดและ สุกร(หมู)
3 ช่องทาง คือ การประชุม การใช้ไมโครโฟนพูดในที่ประชุม
4 ผู้รับสาร คือ ผู้ใหญ่ลี ที่เข้าใจผิด คิดว่า คำว่าสุกร หมายถึง หมาน้อย
จากกรณีศึกษาข้างนี้ เราจะแก้ไขอย่างไร...ให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุดหรือไม่เกิดความผิดพลาดขึ้น...
ข้อที่ 1 ผู้ส่งสาร ควรเปิดโอกาสให้มีการซักถาม ปัญหา หรือความไม่เข้าใจต่างๆ จากผู้รับสาร
ข้อที่ 2 สาร ผู้ส่งสารได้ใช้ภาษาราชการ ซึ่งมาจากส่วนกลาง เพราะในยุคนั้นชาวบ้านหรือผู้นำท้องถิ่นมักจะ คุ้นเคยกับภาษาท้องถิ่น(หมู)มากกว่าภาษาจากส่วนกลาง(สุกร) เพื่อลดความผิดพลาด ควรใช้ภาษาท้องถิ่น หรือภาษาที่ชาวบ้านใช้ในท้องถิ่นนั้นๆ สื่อสารจะเกิด ประสิทธิภาพ มากขึ้น
ข้อ 3 ผู้รับสาร คือผู้ใหญ่ลี เมื่อเกิดความไม่เข้าใจ หรือข้อสงสัย ก็ควรสอบถาม ข้าราชการ หรือทางการ ที่ส่งสาร หรือข้อมูล
...
  
จงมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อนำไปสู่ความเป็นเลิศ
จงมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อนำไปสู่ความเป็นเลิศ
โดย..ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก นักพูดและนักเขียน
www.drsuthichai.com
ไม่ว่าคุณทำงานอาชีพอะไร ไม่ว่าคุณจะอยู่วงการอะไร ถ้าคุณต้องการความเป็นเลิศ คุณจำเป็นจะต้องมุ่งมั่นทุ่มเท พวกเราจะเห็นได้ว่า บุคคลที่เป็นสุดยอดของโลก ไม่ว่าวงการใดๆ เขาจะต้องทำงานหนัก เขาจะต้องมีความขยันขันแข็งมากกว่าคนปกติธรรมดาทั่วๆไป
- ไทเกอร์ วูดส์ นักกอล์ฟอันดับหนึ่งของโลก กว่าเขาจะมาเป็นอันดับหนึ่ง เขาต้องมุ่งมั่นทุ่มเท
ขยันฝึกซ้อม ต้องใช้เวลาฝึกซ้อมและเข้าแข่งขันในรายการต่างๆมากกว่านักกอล์ฟคนอื่นๆ
- เอดิสัน นักประดิษฐ์เอกของโลกกว่าที่เขาจะเป็นนักประดิษฐ์เอก เขาได้คิดค้นสิ่งประดิษฐ์
ต่างๆมากมาย เขาต้องใช้ความอดทน ลองผิดลองถูกมากมาย โดยเฉพาะการประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าดวงแรกของโลก เขาต้องล้มเหลวนับเป็นพันๆครั้ง แต่เขาก็พยายามอดทนมุ่งมั่นทุ่มเทต่อไป จนกระทั่งเขาประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าดวงแรกสำเร็จ
- 2 พี่น้องตระกูลไรท์ วิลเบอร์ ไรท์และออร์วิล ไรท์ กว่าที่พวกเขาจะคิดค้นเครื่องบินลำแรกได้
เขาต้องพบกับความยากลำบาก เขาต้องทดลองขับเครื่องบินที่เขาผลิตและตกลงมาทำให้เขาได้รับบาดเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทเขาจึงสามารถประดิษฐ์เครื่องบินลำแรกของโลกได้สำเร็จ
- อับราฮัม ลินคอล์น นักพูดระดับโลก นักการเมืองระดับโลก เขาเป็นอดีตประธานาธิบดีของ
สหรัฐอเมริกา เขาเข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนไม่เกิน 1 ปี แต่เขาฝึกพูดด้วยตนเอง เขาเรียนรู้ด้วยตนเอง ต่อมาเขามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าว่าจะเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐให้ได้ในที่สุดด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเท เขาสอบตกจากการเลือกตั้งหลายครั้ง เช่น เคยพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งในตำแหน่งนิติบัญญติ พ่ายแพ้การเลือกตั้งในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร พ่ายแพ้การเลือกตั้งในตำแหน่งวุฒิสภา พ่ายแพ้การเลือกตั้งในตำแหน่งรองประธานาธิบดี แต่ด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทเขาได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาและเป็นประธานาธิบดีที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาและประวัติศาสตร์ของโลก
ดังนั้น ถ้าท่านต้องการความเป็นเลิศในวงการของท่าน ท่านจงสร้างอุปนิสัยแห่งความมุ่งมั่น
ทุ่มเท แล้วท่านจะเป็นคนหนึ่งที่ยืนอยู่แถวหน้าในวงการของท่านหรือในสายอาชีพของท่าน
น้ำแต่ละหยดยังรวมกันเป็นทะเลมหาสมุทร หินแต่ละก้อนยังรวมเป็นภูเขา
ถ้าท่านอยากเป็นเลิศในวงการของท่าน จงมุ่งมั่นทุ่มเทแล้วท่านจะเป็นเลิศอย่างแน่นอน
...
  
การให้อภัยศัตรู
การให้อภัยศัตรู
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การให้อภัย มีความสำคัญมากต่อ สุขภาพจิตใจ สุขภาพร่างกายของเรา เพราะการให้อภัยจะทำให้เราไม่ยึดติดในความร้อน ความแค้น เมื่อไม่ร้อน จิตก็จะกลางๆ คือเข้าสู่ความสงบ ความสว่าง ตามหลักการทางพุทธศาสนา ตรงกันข้ามกับศัตรูของเรา เมื่อได้พูดไปแล้ว เมื่อได้กระทำต่อเราแล้ว ก็ลืมและก็ไม่ได้คิดมาก ศัตรูจึงไม่มีความทุกข์
จงให้อภัย เป็นคำพูดที่ง่ายๆ แต่ในทางปฏิบัตินั้นยากมากๆ ที่จะให้อภัย โดยเฉพาะกับศัตรู ตัวกระผมเอง ก็เคยมีประสบการณ์ ซึ่งเคยถูกข่มขู่ ที่จะฆ่า ที่จะทำร้าย ทำให้โกรธและอยากที่จะเอาคืน แต่คิดโกรธ แค้นทีไร ตัวกระผมเองก็เกิดความทุกข์ ความร้อนขึ้นทันที ซึ่งทำให้เกิดอาการและโรคต่างๆตาม มา เช่น โรคนอนไม่หลับ , โรคเครียด โรคกระเพาะ ตามมา
ในทางจิตวิทยาได้กล่าวไว้ว่า ถ้าเราคิดแต่สิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในสมอง ก็เสมือนเราเก็บของไม่ดีเอาไว้ในสมองมากๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะทำให้เราอ่อนแรง ไม่มีพลังในการทำงาน อีกทั้งจะทำให้เราเกิดการเจ็บป่วยได้
การให้อภัยจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะเป็นผลดีต่อเรามากกว่าเป็นผลดีต่อศัตรูของเรา ซึ่งเทคนิคการให้อภัยมีดังนี้
1.เราไม่ควรคิดทบทวนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะจะทำให้เรายิ่งเจ็บแค้น ควรเปลี่ยนเรื่องคิด หรือความคิดที่ดีๆ มาใส่แทน เสมือนว่า ในแก้วน้ำมียาพิษ หากว่าเราต้องการให้ยาพิษหมด เราต้องหาน้ำดีเติมลงไป เมื่อเติมลงไปเยอะๆ น้ำและยาพิษก็จะล้นออกจากแก้ว ก็จะทำให้ ยาพิษจางและค่อยๆหายไป ในที่สุด ดังนั้น ต้องหาความคิดที่ดีๆ ความสุขเติมลงไปเยอะๆ
2.เข้าหาศาสนา ทุกศาสนาจะสอนให้ “ ให้อภัย” ศาสนาพุทธ “ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” ศาสนาคริสต์ “ เมื่อถูกคนตบหน้าด้านซ้ายก็จงเอาด้านขวาให้เขาตบด้วย” หรือพระเยซูเอง ตอนตาย ก็ถูกตรึงไม้กางเขน ก่อนตายก็พูดกับพระเจ้าว่า “ ให้อภัยเขา”
พระคัมภีร์ไบเบิล ก็ยังได้กล่าวไว้ว่า “เราให้อภัยคนอื่นเมื่อเราไม่ถือโทษและไม่เรียกร้องให้เขามาขอโทษหรือชดใช้ คัมภีร์ไบเบิลสอนว่าความรักแบบไม่เห็นแก่ตัวเป็นหัวใจสำคัญของการให้อภัยอย่างแท้จริง เพราะความรัก “ไม่จดจำเรื่องที่ทำให้เจ็บใจ”—1 โครินท์ 13:4, 5”
3.จงคิดบวกหรือเปลี่ยนทัศนคติให้บวก เช่น เหตุการณ์ที่เลวร้ายนี้ ทำให้เราได้รับบทเรียนในชีวิต อนาคตเราจะได้ไม่ทำผิดพลาดอีก และคิดเสียว่า บุคคลที่ได้ทำลายเรา ก็จะถูกเวรกรรมตามทัน
4.จงหลีกเลี่ยง หรือไม่พบกับบุคคลที่เป็นศัตรูของท่าน เพราะจะทำให้ท่านคิดหรือเขาอาจจะสร้างปัญหาให้แก่ท่านได้ หรือ หลีกเลี่ยงไปยังสถานที่ของศัตรูของท่านหรือหลีกเลี่ยงพบกับพวกพรรคของเขา
โดยสรุปเมื่อท่านได้ให้อภัยแก่ศัตรูของท่าน ท่านก็จะได้รับประโยชน์ดังนี้
1. ท่านจะเป็นผู้ชนะ เพราะท่านจะชนะใจตนเอง อีกทั้งท่านจะไม่แคร์ศัตรูท่านอีกต่อไป
2. ท่านจะไม่คิดถึงมันเพราะแผลในหัวใจของท่านได้จางหายไปเสียแล้ว ทำให้ไม่เกิดความทุกข์กับเรื่องนั้นอีกต่อไป
3.ท่านจะได้รับ สารความสุข Endophine เพิ่มมากขึ้น
4.ท่านจะมีความภาคภูมิใจในตัวของท่านเอง เพราะ ท่านสามารถทำสิ่งที่ยากได้
5.ท่านจะไม่ได้สร้างเวร สร้างกรรม ต่อกันอีกต่อไป เพราะบางคน คิดจะแก้แค้นถึงกับฆ่ากันตายกันเลยทีเดียว จนตัวเองต้องเข้าคุกเข้าตารางกันไป



...
  
อภัยทาน
อภัยทาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
อภัยทาน คือ การยุติผลกรรม การจองเวร การคิดแก้แค้น การอาฆาตพยาบาท การคิดร้าย การคิดลบ กล่าวคือ สิ่งที่เป็นภัยที่เกิดขึ้นจากจิตใจหรือความคิดของเราเอง ซึ่งถือว่าเป็นยาพิษสำหรับจิตใจของเรา หรืออาจจะเปรียบได้ว่า เป็นการตกนรกภายในใจ ทั้งๆที่มีชีวิตอยู่ เนื่องจากเกิดความทุกข์ ความไม่สบายใจ
อภัยทาน คือ การไม่พยาบาท การไม่ผูกใจโกรธ การไม่อาฆาตจองเวร หรือคิดร้ายแม้กระทั้งศัตรูของตนเอง
เราจะเห็นว่า ศาสนาพุทธ เมื่อผู้ใดได้ตายลงไปแล้ว ประเพณีของไทยเราส่วนใหญ่ เราก็จะจุดธูปแล้ว กล่าวขออภัยต่อศพ ว่าสิ่งใดที่เราได้ล่วงเกินไปด้วยกาย วาจา ใจ ก็ขออโหสิกรรม ถึงแม้จะเป็นศัตรูก็ตาม เพราะถ้ายังผูกใจเจ็บซึ่งกันและกัน ก็จะส่งผลไปยังภพชาติหน้า
แม้แต่ประเพณี สงกรานต์ของไทยเราหรือวันขึ้นปีใหม่หรือพิธีบวช ของไทยเรา ก็ยังคงมีเรื่องของ การอโหสิกรรม ซึ่งจะทำให้ใจของเราเกิดการอภัยทานซึ่งกันและกัน จึงเป็นเรื่องของการชำระล้างใจ ทำให้ใจของเราเกิดความสงบร่มเย็น
การอภัยทานจึงต้องอาศัยการฝึกทำ ไปทีละเล็กทีละน้อย จนเป็นปกติ ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำได้ยาก แต่ถ้าใครทำได้ก็จะเป็นเรื่องการสร้างบุญบารมีให้แก่ตนเอง เพราะการให้อภัยการเมตตาจะเป็นคุณประโยชน์แก่ตนเอง มากกว่าคนที่เราผูกใจเจ็บ
ซึ่งตามหลักการพุทธศาสนานั้นได้สอนไว้ว่า การให้อภัยทานคือการให้ทานสูงสุด เป็นการให้ทานที่สูงกว่าการให้ธรรมทานเสียอีก การให้ธรรมทาน 100 ครั้ง ก็ไม่อาจสู้หรือได้บุญน้อยกว่าการให้ “ อภัยทาน”
การทะเลาะกัน ก็เหมือนกับ การโทรศัพท์หากัน ซึ่งจะต้องมีการพูดคุยตอบโต้กัน ถ้าการพูดต่อโต้กันเป็นเรื่องที่ดี เรื่องที่มีความสุข เรื่องความรัก ความอบอุ่น ก็ดีไป แต่ถ้า ทะเลาะกันผ่านทางโทรศัพท์ ถ้ามีฝ่ายหนึ่งหยุดพูด อีกฝ่ายก็ไม่สามารถโต้ตอบได้ ก็จะไม่เกิดอารมณ์ โกรธ เกลียด ที่มากขึ้นด้วยกันทั้งสองฝ่าย ดังนั้น การหลบเลี่ยง การหลบหนี การหยุดทะเลาะ การยอมแพ้บ้าง จึงเป็นเรื่องของการไม่เพิ่ม อารมณ์ ความโกรธ ความเกลียด ความเครียดแค้น การผูกใจเจ็บ ให้มากขึ้นได้
กระผมได้ฟังเทศนาจากพระคุณเจ้าในอดีตซึ่งจำไม่ได้ว่ามาจากพระท่านใด ท่านกล่าวว่า “ การที่เราโกรธใคร ไม่ไปอหิโสกรรมใคร จะทำให้บาปนั้นติดภายในใจเราไปอย่างยาวนาน ข้ามภพข้ามชาติ ถ้าเราไปเกิดใหม่ กรรมหรือบาปนั้น ก็ยังติดตามไปด้วย บางคนเกิดมามักจะถูกใส่ร้ายตลอด บางคนเกิดมาก็มีผู้คนกลั่นแกล้ง ทำร้ายตลอด นั่นเพราะเกิดจากกรรมในอดีต ”
จงชนะใจของตนเองด้วยการให้อภัยทาน แล้วท่านจะพบกับความสุขภายในใจของตนเอง จงแผ่เมตตาให้ตนเอง ให้กับผู้คน ให้กับสัตว์ร้ายและศัตรูของท่าน จงอโหสิกรรมให้แก่ตนเอง ผู้อื่น รวมทั้งศัตรูของท่าน จะทำให้ชีวิตของท่านเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.